Wednesday, August 29, 2012

หลวงพ่อบ้านแดง

ประสปการณ์

จากธุดงควัตร

หลวงพ่อบ้านแดง

     ครั้งเกิดกลียุคเมื่อประมาณพุทธศักราช ๒๔๕๖ นั้น หลวงปู่สีทัตต์เคยไปๆ มาๆ ระหว่างวัดพระธาตุท่าอุเทน จังหวัดนครพนม  กับถ้ำภูเขาควาย ทางฝั่งลาวอยู่เสมอ พอเกิดกลียุค พวกตำรวจได้ค้นหาพระภิกษุที่เป็นที่เคารพของผู้คนทั่วไป ด้วยความเข้าใจว่าพระภิกษุเหล่านั้นเป็นพวกผู้การร้ายคอมมิวนิสต์ หลวงปู่สีทัตต์ ก็เป็นพระภิกษุรูปหนึ่งที่มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพรักนับถือของชาวบ้านแถวอีสานตอนเหนือ จึงเป็นบุคคลหนึ่งที่ทางการพยายามจับกุม  ขณะนั้นหลวงปู่สีทัตต์พำนักอยู่ที่วัดพระธาตุท่าอุเทน  จึงต้องคอยหลบหนีต่อเหตุการณ์ดังกล่าว


วัดพระธาตุท่าอุเทน จ.นครพนม

ภาพประกอบจากหนังสือ
ฉลอง ๑๐๐ ปี หลวงปู่สุภา
    หลวงพ่อบ้านแดง ก็เป็นพระภิกษุอีกรูปหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากเช่นเดียวกับหลวงปู่สีทัตต์  ท่านพำนักอยู่จังหวัดอุดรธานี  เข้าใจว่าท่านเป็นพระภิกษุที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์  โดยวัตรปฏิบัติของท่านนั้นคือการสร้างวัดเพียงอย่างเดียว หลวงปู่เล่าให้ฟังว่าเวลาหลวงพ่อบ้านแดงออกบิณฑบาต เมื่อท่านกลับจากบิณฑบาตข้าวทุกเม็ดที่อยู่ในบาตรเทออกมาจากบาตรแล้วจะกลายเป็นเหรียญบาททั้งหมด เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นที่เล่าลือกันไปทั่วคนทั่วไปเข้าใจว่าท่านคือหลวงปู่สีทัตต์ แต่ทางตำรวจสีบทราบว่าแท้จริงเป็นหลวงพ่อบ้านแดงจึงได้มาจับท่าน  แต่หลวงพ่อบ้านแดงท่านไม่ยอมไปกับตำรวจ  สั่งให้ท่านเดินท่านก็ไม่เดิน สั่งให้ท่านขึ้นรถท่านก็ไม่ขึ้น ตำรวจจึงไปนำเอาเกวียนมาให้ท่านขึ้น  ท่านก็ไม่ยอมขึ้นเกวียน แต่ตอบตำรวจว่า "สูอยากให้ข้าไป ก็หามข้าไปซี" ตำรวจเกิดโทสะจึงเอาด้ามปืนกระทุ้งที่ตะโพกท่าน ทำให้ขาของท่านหลุด  ทางตำรวจจึงต้องหามท่านไปให้หมอรักษาในห้องขัง  แล้วแกล้งท่านไม่ถวายข้าวให้ท่านฉันเป็นเวลานาน ๑๕ วัน  ท่านก็คงอยู่ได้ เช่นนั้นโดยไม่ต้องฉันสิ่งใดเลย

     หลวงปู่สุภาเล่าต่อไปว่าเมื่อขาท่านหายบาดเจ็บพอที่จะบิณฑบาตได้ ทางการก็อนุญาติให้ท่านไปบิณฑบาตที่ตลาด เมื่อกลับจากบิณฑบาตก็กลับเข้าไปอยู่ในห้องขัง  ข้าวที่บิณฑบาตมาได้ตลอดเวลา ๔-๕ เดือนที่ถูกคุมขัง  หลวงพ่อได้เทไว้ตามมุมต่างๆของห้องขัง และข้าวทุกเม็ดที่เทจากบาตรก็กลายเป็นเหรียญบาทเก่าๆ เป็นเหรียญสมัยรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ เจ้าหน้าที่ทางกรุงเทพฯ ได้ไปสืบสวนหาความจริง จึงสั่งให้ปล่อยหลวงพ่อบ้านแดง เมื่อตำรวจไปกราบเรียนหลวงพ่อ อนุญาติให้กลับวัดได้แล้ว ท่านกลับนั่งเฉย ไม่ยอมออกจากห้องขังซ้ำกล่าวกับตำรวจว่า "สูเอาข้ามา ก็เอาข้าไปส่งซิ" เมื่อเจ้าหน้าที่นิมนต์ให้ขึ้นรถท่านก็ไม่ขึ้น ให้ท่านเดินท่านก็ไม่เดิน สุดท้าย ทางเจ้าหน้าที่ต้องหามท่านไปส่งถึงอุดรธานี ซึ่งเป็นจังหวัดบ้านเกิดของหลวงพ่อบ้านแดง

ภาพประกอบจากหนังสือ
ฉลอง ๑๐๐ ปี หลวงปู่สุภา

     หลวงปู่สีทัตต์ อาจารย์ของหลวงปู่สุภา เป็นพระภิกษุรูปหนึ่งที่ถูกทางการตามจับดังกล่าวมาแล้ว เพราะได้ข่าวว่าเป็นพระที่ฝักใฝ่ในลัทธิคอมมิวนิสต์ วันหนึ่งในขณะที่หลวงปู่สีทัตต์กำลังจารหนังสืออยู่ในกุฏิที่วัดพระธาตุท่าอุเทน และหลวงปู่สุภายังเป็นสามเณรอยู่กับท่าน มีตำรวจจำนวน ๒๔ นาย กรูกันเข้ามาที่วัดพระธาตุท่าอุเทน และได้ถามหาหลวงปู่สีทัตต์กับสามเณรสุภา ท่านบอกว่าอาจารย์กำลังจารหนังสืออยู่ในกุฏิ  เมื่อตำรวจเข้าไปตรวจค้นในกุฏิกลับไม่พบหลวงปู่สีทัตต์ ตำรวจจึงเงื้อด้ามปืนจะทำอันตรายท่าน หลวงปู่สีทัตต์จึงส่งเสียงดังออกมาบอกว่าท่านอยู่ทางนี้  พอตำรวจกรูเข้าไปตามทิศทางของเสียงที่ได้ยินกลับต้องผิดหวังอีกครั้ง เพราะหาท่านไม่พบ ครั้นมองออกไปกลางแม่น้ำโขงจึงได้เห็นหลวงปู่สีทัตต์อยู่กลางแม่น้ำโขง จากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เอง หลวงปู่สีทัตต์จึงไปพำนักอยู่ในประเทศลาว และไม่กลับมาประเทศไทยอีกเลยจนกระทั่งถึงแก่มรณภาพ





แหล่งที่มา: หนังสือฉลอง ๑๐๐ ปี หลวงปู่สุภา กันตสีโล (เขารัง)



ประวัติ หลวงพ่อพิบูลย์ หรือ หลวงพ่อบ้านแดง

ผู้ก่อตั้งบ้านแดง และ วัดพระแท่นหรือวัดบ้านแดง
( ปัจจุบันคือ วัดพระแท่น ตำบลบ้านแดง อำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี )

หลวงพ่อพิบูลย์ นามเดิมว่า พิบูลย์ ( บางข้อมูลก็บอกว่าชื่อ กิมเม้ง ) แซ่ตัน เกิดที่ บ้านพระเจ้า ตำบลมะอึ ( ปัจจุบันคือตำบลพระเจ้า ) อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด บิดาชื่อ นายสา แซ่ตัน มารดาชื่อ นางโสภา แซ่ตัน มีอาชีพค้าขายและทำนา เคยรับราชการทหารอยู่หลายปี และเคยแต่งงานแต่ไม่ปรากฏชื่อภรรยา ได้ครองเรือนอยู่ด้วยกันหลายปีแต่ไม่มีบุตรด้วยกัน จึงไปขอบุตรสาวของนายจันทีมาเลี้ยง จนบุตรสาวโตและได้แต่งงานกับชายมีฐานะทัดเทียมกัน ปกติวิสัยของหลวงพ่อตั้งแต่เป็นฆราวาสเป็นคนชอบทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ชอบทำบุญฟังธรรมและสนทนาธรรมอยู่เป็นประจำ ต่อมาเห็นว่าบุตรสาวและบุตรเขยอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุขแล้ว จึงปรึกษากับภรรยาและบุตรว่าอยากจะบวช ภรรยาและบุตรก็ตกลงให้บวช โดยภรรยามีข้อแม้ว่าจะขอบวชถือศีลแปดเหมือนกัน แต่จะไปคนละทิศละทาง จึงได้ตกลงแยกกันบวชกับภรรยาและยกทรัพย์สินทั้งหมดให้บุตรสาวและบุตรเขย และหลังจากนั้น 7 วัน หลวงพ่อพิบูลย์ก็ได้ชวนนายฮวดซึ่งเป็นเพื่อนรักกันออกบวชที่สำนักพระอุปัชฌาย์ ซึ่งในขณะนั้นมีอายุได้ 45 ปี ( ไม่ปรากฏชื่อพระอุปัชฌาย์ ) บวชอยู่ได้หนึ่งพรรษา จึงได้แยกกับหลวงปู่ฮวดและเดินธุดงค์ไปยังประเทศลาว โดยไปที่ภูอากและภูเขาควาย เพื่อบำเพ็ญสมณะธรรมอยู่หลายพรรษา ต่อมาหลวงพ่อก็ได้พบอาจารย์วิเศษซึ่งมีไม้เท้าหนักหนึ่งหมื่น ( 12 กิโลกรัม ) จึงได้เรียนกรรมมัฏฐาน และปฏิบัติธรรมอยู่กับลูกศิษย์รูปอื่น ๆ ของพระอาจารย์ 7 รูป เป็นเวลา 3 ปี 

หลวงพ่อบ้านแดง


ต่อมาพระอาจารย์จึงได้เรียกลูกศิษย์ทั้ง 7 รูปมาทดสอบ โดยส่งลูกสมอให้คนละลูก ซึ่งถ้าผู้ใดได้บรรลุธรรมวิเศษแล้วขอให้อมลูกสมอแตก หลวงพ่อพิบูลย์จึงอมลูกสมอปรากฏว่าแตกเหมือนกับลูกศิษย์ของอาจารย์อีก 2 รูป อาจารย์จึงส่งให้กลับมาประกาศพระพุทธศาสนายังประเทศไทย ให้หลวงพ่อพิบูลย์ประกาศพระพุทธศาสนาที่ภาคอีสาน ส่วนอีก 2 รูป ให้ประกาศพระพุทธศาสนาที่ภาคเหนือและภาคใต้ หลวงพ่อพิบูลย์จึงได้เดินทางข้ามลำน้ำโขงมาทางจังหวัดนครพนม และนมัสการพระธาตุพนมแล้วเดินทางมาถึงอำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี มาตั้งวัดอยู่เกาะแก้วเกาะเกศ ที่วัดแห่งนี้เดิมเป็นสถานที่อาถรรพ์ที่ผู้คนไม่กล้าเข้าไปใกล้ พอหลวงพ่อพิบูลย์ไปแผ้วถางไม่มีอันตราย ชาวบ้านจึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธา และที่ท่าน้ำบริเวณวัดแห่งนี้มีจระเข้ยักษ์ตัวหนึ่ง ชอบขึ้นมาลักลอบเอาสุนัขและสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านไปกินเป็นอาหารอยู่เป็นประจำ ชาวบ้านจึงไปปรึกษาหลวงพ่อพิบูลย์ ท่านก็บอกว่าไม่ต้องกลัว มันบ่ยากดอก ( ภาษาอีสานหมายถึงไม่ยากหรอก ) แล้วบอกให้ชาวบ้านเอาเทียนเวียนหัวคนละเล่ม ชาวบ้านได้ทำตาม หลวงพ่อก็นั่งบริกรรมคาถาอยู่สักครู่ก็บอกชาวบ้านว่า ให้คอยดูจะเอาแส้ (ไม้เรียว ) ลงไปไล่ตีมันให้หนีจากวังน้ำนี้ สักครู่หลวงพ่อพร้อมด้วยเทียนที่ถืออยู่กับไม้เรียวก็ลงไปในน้ำ ชาวบ้านเห็นน้ำขุ่นมัวไปหมดประมาณ 2 ชั่วโมง หลวงพ่อก็กลับขึ้นมา ซึ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งที่เทียนในมือของหลวงพ่อที่ถือลงไปดำน้ำด้วยก็ยังไม่ดับ และสบงจีวรก็ไม่เปียกน้ำ หลวงพ่อบอกชาวบ้านว่ามันยอมแพ้แล้วและจะหนีไปภายใน 7 วัน หลวงพ่อจึงเรียกจระเข้ขึ้นมาให้ชาวบ้านดู จระเข้ก็ขึ้นมานอนนิ่งอยู่ที่ฝั่ง หลวงพ่อก็บอกอีกว่าให้หนีจากลำห้วยแห่งนี้เสียภายใน 7 วัน ( ลำน้ำปาวในปัจจุบัน ) จระเข้ก็คลานลงไปในน้ำ หลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามีจระเข้อยู่ในลำน้ำปาวนั้นอีกเลย จึงยิ่งทำให้ชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธาหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่งเป็นทวีคูณ หลวงพ่อได้สร้างวัดพอสมควรแล้ว จึงเดินธุดงค์ขึ้นไปหาพระอาจารย์ที่ประเทศลาว พอไปถึงพระอาจารย์ก็บอกว่าวัดที่สร้างนั้นไม่ใช่วัดที่ข้าบอก วัดที่ข้าบอกอยู่ทางทิศเหนือของหนองหานติดกับห้วยหลวง หลวงพ่อจึงเดินธุดงค์กลับมาเพื่อบอกลาพ่อออกแม่ออก ( ญาติโยม ) ทำให้ญาติโยมเกิดความเสียดายเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นหลวงพ่อก็เดินทางเพื่อไปหาวัดที่พระอาจารย์บอกไปสร้างต่อ พอมาถึงบ้านเชียงงาม ( ปัจจุบันอยู่ติดกับอำเภอหนองหาน ) หลวงพ่อได้พบกับโยมคนหนึ่งชื่อโยมเวียง จึงถามหาห้วยหลวง โยมเวียงบอกว่าวันนี้คงเดินทางไปไม่ถึงห้วยหลวงแน่ขอให้จำพรรษาที่วัดนี้ก่อน เพราะวันนี้เป็นวันเข้าพรรษา หลวงพ่อจึงรับนิมนต์แล้วจำพรรษาอยู่ที่วัดเชียงงามนั้น โยมเวียงจึงพาหลวงพ่อเข้าบ้าน หลวงพ่อจึงถามโยมเวียงว่ามีใครเอาอะไรมาฝากไว้ไหม ทางโยมเวียงก็ตอบว่าเมื่อ 10 ปีก่อนนั้นมีคนเอาไม้เท้ามาฝากไว้ บอกว่าจะมีคนมาเอาเอง โยมเวียงจึงได้นำมาถวายหลวงพ่อ หลวงพ่อจึงคลี่ผ้าขาวออกปรากฎว่ามีตัวหนังสือเป็นตัวยันต์เต็มไปหมด ใจความว่าหลวงพ่อพิบูลย์ โยมเวียงจึงถามว่าผู้ที่นำไม้เท้ามาฝากนี้เป็นใคร หลวงพ่ออบอกว่าเป็นเทพบุตรอยู่ในสรวงสวรรค์มาฝากไว้
ในขณะที่จำพรรษาอยู่ที่วัดเชียงงามนั้น มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อเถิก เป็นคนหัวดื้อ เรียนวิชาอาคมมา ( เดียรฉานวิชา ) คือวิชาควายธนู เป็นคนเกะกะระรานชาวบ้าน หลวงพ่อจึงได้ว่ากล่าวตักเตือนแต่นายเถิกกลับเกิดความไม่พอใจและโกรธจัด ครั้งหนึ่งในขณะที่หลวงพ่อกำลังบำเพ็ญภาวนาอยู่ นายเถิกได้ปล่อยควายธนูหวังจะฆ่าหลวงพ่อเพราะความโกรธแค้น ควายธนูของนายเถิกได้วิ่งรอบตัวหลวงพ่อแต่ก็ทำอะไรหลวงพ่อไม่ได้ หลวงพ่อจึงเอากระโถนครอบควายธนูนายเถิกไว้ ต่อมาวันรุ่งเช้าหลวงพ่อออกบิณฑบาตก็ได้เห็นชาวบ้านกำลังทำโลงศพใส่นายเถิก ซึ่งชาวบ้านบอกว่าไหลตายตั้งแต่ตอนตีสองเมื่อคืนนี้ หลวงพ่อจึงบอกว่าไม่ต้องทำโลงศพหรอก ให้นายเถิกกินน้ำมนต์หลวงพ่อก็จะฟื้น แต่ต้องให้หลวงพ่อฉันภัตตาหารก่อน ให้เอาขันธ์ 5 ขันธ์ 8 มาให้ พอหลวงพ่อได้ขันดอกไม้และเทียนเป็นขันธ์ 5 ขันธ์ 8 แล้วหลวงพ่อจึงได้ทำน้ำมนต์ แล้วให้ชาวบ้านเอาไปกรอกปากนายเถิก นายเถิกจึงฟื้นขึ้นมาและได้ขอบวชกับหลวงพ่อและเป็นผู้ติดตามหลวงพ่อ เมื่อออกพรรษาแล้วหลวงพ่อก็ได้เดินทางไปยังทิศเหนือของอำเภอหนองหาน จนไปถึงห้วยดาน ได้พบจารย์มีเป็นคนแรก ( จารย์หมายถึงคนเคยบวชพระมาก่อนแล้วลาสิกขา ) จึงถามว่ายังอีกไกลไหมจึงจะถึงบ้านไท และจารย์มีจะไปไหน จารย์มีตอบว่าอีกไม่ไกลหรอก ตอนนี้กำลังออกตามหาควาย เพราะควายหายไปหลายวันแล้ว หลวงพ่อก็บอกว่า บ่ต้องไปตามหามันดอก สีนวดเอามันก็แล่นตามแล้ว ( ภาษาอีสานหมายความว่า ไม่ต้องไปตามหาหรอกสีนวดเอาควายก็จะวิ่งตามมาเอง ) ให้มารับเอาบริขารหลวงพ่อไปที่บ้านไท จารย์มีก็เลยพาหลวงพ่อไปที่บ้านไท ซึ่งก็เป็นที่อัศจรรย์อย่างยิ่งเมื่อหลวงพ่อกับจารย์มีเดินทางข้ามห้วยหลวงมาถึงห้วยมันปลา ก็ปรากฏว่าฝูงควายที่จารย์มีตามหาอยู่หลายวันนั้นวิ่งตามมาจริง ๆ หลวงพ่อก็เลยบอกว่ามันตามมาแล้ว จารย์มีจึงเริ่มเห็นอภินิหารของหลวงพ่อ พอไปถึงบ้านไท หลวงพ่อจึงได้ถามชาวบ้านว่ามีวัดเก่าไหมแถวละแวกนี้ ชาวบ้านก็บอกว่ามีแต่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ผู้คนเข้าไปไม่ได้แม้แต่จะปัสสาวะก็ไม่กล้าหันหน้าไปทางนั้น ถ้าใครไม่เชื่อจะมีอันเป็นไปถึงตาย หลวงพ่อบอกว่าไม่เป็นไรหรอกเพราะเจ้าของที่มาแล้ว จากนั้นหลวงพ่อจึงได้ชักชวนชาวบ้านเข้าไปดูในวัดนั้นซึ่งมีสภาพเป็นป่าดอกไม้สีแดง มีซากปรักหักพังของโบสถ์วิหาร ภายในวิหารมีแท่นพระใหญ่แต่ไม่มีพระพุทธรูป มีต้นแดงต้นใหญ่อยู่ใกล้ ๆ หลวงพ่อจึงตั้งชื่อวัดว่า วัดพระแท่น ตามแท่นพระใหญ่ และชาวบ้านไทแผ้วถางได้ประมาณ 6 ไร่ และได้พากันบริจาคหญ้าสำหรับมุงหลังคาเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราวให้กับหลวงพ่อ เมื่อวันอังคาร แรม 8 ค่ำ ปีชวด พ.ศ. 2443 ( ตรงกับวันที่ 16 ตุลาคม 2443 ) ด้วยไพหญ้าคา 34 ไพ หลังจากนั้นหลวงพ่อก็ได้พาชาวบ้านไทพัฒนาวัดพระแท่น และได้วางผังเมืองใหม่แล้วชักชวนชาวบ้านไทให้มาอยู่ที่แห่งใหม่นั้น โดยตั้งชื่อว่าบ้านแดง ตามนามต้นไม้แดงใหญ่และหนองแดง หลวงพ่อได้พาชาวบ้านพัฒนาทั้งวัดและบ้าน ใครมีเรื่องเดือดร้อนอะไรหลวงพ่อก็จะช่วยเหลือหมด จนกระทั่งชื่อเสียงของหลวงพ่อเลื่องลือไปไกล มีราษฎรจากหลายจังหวัดอพยพครอบครัวมาอาศัยอยู่กับหลวงพ่อ จึงได้พาชาวบ้านสร้างศาลาใหญ่ขึ้นโดยเลือกเอาเฉพาะไม้แดง ไม้ตะเคียน ไม้ประดู่ ไม้แต้ หลวงพ่อพาชาวบ้านสร้างศาลาใหญ่ทั้งกลางวันคืน กลางวันก็ผลัดของคนแก่ กลางคืนผลัดของคนหนุ่มสาวช่วยไปลากไม้ โดยหลวงพ่อทำเป็นเกวียนหลังใหญ่ให้หนุ่มสาวไปลากไม้มาทีละ 4-5 ท่อน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หลวงพ่อพาชาวบ้านไปตัดต้นตะเคียนยักษ์ที่ริมห้วยหลวง แต่ไม้กลับล้มลงไปในลำห้วยหลวง ซึ่งน้ำลึกประมาณ 3-4 เมตรจึงไม่มีใครกล้าลงไปตัดไม้นั้น หลวงพ่อจึงดำน้ำลงไปตัดคนเดียว ประมาณ 2 ชั่วโมง หลวงพ่อก็เอาไม้ตะเคียนใหญ่ขนาดวัดรอบ 3 วา 2 ท่อน ยาวท่อนละ 12 ศอก โดยที่ผ้าสบงจีวรไม่เบียกน้ำเลย ต่อมาเมื่อสร้างวัดเสร็จแล้วหลวงพ่อก็พาชาวบ้านสร้างที่พักอาศัย ให้ชาวบ้านมาขออยู่รอบวัดทางทิศตะวันออกหลังใหญ่ 1 หลัง ทำมีด ทำจอบ ทำเสียม ไว้เป็นกองทุน คอยแจกจ่ายชาวบ้านที่มาขอพึ่งใบบุญ และทำธนาคารข้าว ธนาคารโคกระบือไว้คอยแจกจ่ายแก่คนยากจนและได้บอกกับชาวบ้านว่า บ้านแห่งนี้จะเป็นเมืองในอนาคต จึงชักชวนชาวบ้านวางผังเมือง โดยแบ่งเป็นสถานที่ราชการในอนาคตไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปอยู่ ส่วนที่อยู่บ้านก็แบ่งเป็นคุ้ม ๆ ให้อยู่อย่างมีระเบียบ หลวงพ่อเป็นพระผู้มีบารมีอันสูงส่ง จึงทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ ท่านเคยบอกชาวบ้านว่า บ้านแดงแห่งนี้จะถูกทางการยกฐานะการปกครองขึ้นเป็นตำบลและอำเภอในวันข้างหน้า ( ซึ่งต่อมาความจริงก็ปรากฏว่าบ้านแดงแห่งนี้ถูกยกขึ้นเป็น ตำบลบ้านแดง จากนั้นก็ยกฐานะขึ้นเป็น กิ่งอำเภอพิบูลย์รักษ์ และเป็น อำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี ในปัจจุบัน เป็นจริงตามที่ท่านเคยบอกกล่าวชาวบ้านเอาไว้ทุกประการ ) และการห่มจีวรของพระภิกษุสามเณรก็ให้ห่มเหมือนพระอุปัชฌาย์บวชให้ ( คือนิกายเดิม ) จนทำให้ทางราชการบ้านเมืองคณะสงฆ์เข้าใจผิดคิดว่าหลวงพ่อเป็นกบฏ ซ่องสุมอาวุธ จึงได้จับหลวงพ่อนำไปถ่วงน้ำที่เกาะสีชังจังหวัดภูเก็ตนานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน คิดว่าคงมรณภาพแล้วจึงได้นำขึ้นมา แต่เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งเพราะหลวงพ่อยังไม่มรณภาพเลย และผ้าสบงจีวรที่หลวงพ่อนุ่งห่มก็ไม่เปียกน้ำเลย จึงทำให้ทางราชการเกิดความศรัทธาเลื่อมใส จึงได้นิมนต์ให้อยู่ที่นั่นนานถึง 3 ปี จึงส่งหลวงพ่อกลับวัดพระแท่นบ้านแดงตามเดิม ด้วยความศรัทธาของชาวบ้าน เมื่อทราบข่าวว่าหลวงพ่อกลับมาก็พากันดีอกดีใจ จึงขอบวชชีพราหมณ์ให้ ฝ่ายพระสงฆ์บอกว่าผิดกฎหมายของสงฆ์ จึงนำตัวหลวงพ่อไปอีกครั้ง โดยนำไปไว้ที่วัดโพธิสมภรณ์เจ้าคณะมณฑลอุดร ขณะที่อยู่วัดนั้นก็ถูกบังคับให้สึกห้ามไม่ให้ออกบิณฑบาต แต่หลวงพ่อไม่ทำตามและยังมีราษฏรที่มีความศรัทธา นำเอาเงินทองไปถวายไม่ขาดระยะ ขณะอยู่ที่วัดโพธิสมภรณ์ 15 พรรษา ได้สร้างกุฏิ 55 หลัง และฉางข้าวอีก 2 หลัง เงินที่ได้รับบริจาคยังให้ลูกศิษย์ คือหลวงโชติ ( ปัจจุบันมรณภาพไปแล้ว อายุได้ 85 ปี ) ซื้อโคกระบือ แจกจ่ายชาวบ้านอยู่ตลอด ครั้งหนึ่งที่กุดแห่บ้านนานกหงส์ ได้มีฝูงจระเข้เข้ามาอยู่อาศัยในหนองน้ำมากมาย จนชาวบ้านไม่กล้าลงไปทำมาหากินในหนองน้ำนั้น จึงได้นิมนต์หลวงพ่อไปปราบให้ หลวงพ่อจึงพาชาวบ้านไปถึงกุดแห่ ทำพิธีกรรมเสร็จแล้วก็ถือเทียนและแส้ลงไปในหนองน้ำ หลวงพ่อบอกชาวบ้านว่าอยากเห็นเรือทองคำไหม เมื่อชาวบ้านบอกว่าอยากเห็น หลวงพ่อก็ล้วงมือลงไปในน้ำแล้วจับเรือทองคำยาวประมาณ 3 เมตรขึ้นมา เมื่อชาวบ้านเห็นเรือทองคำแล้วก็ปล่อยลงไปในน้ำเหมือนเดิม แล้วหลวงพ่อก็ดำน้ำลงไปนานประมาณ 1 ชั่วโมง ชาวบ้านเห็นน้ำขุ่นมัวไปหมด พอหลวงพ่อขึ้นมาก็เป็นที่น่าอัศจรรย์ เพราะเทียนที่หลวงพ่อถือดำน้ำลงไปด้วยยังไม่ดับและสบงจีวรก็ไม่เปียกน้ำ หลวงพ่อบอกว่าอีก 7 วัน ก็ให้ชาวบ้านลงไปหาปลาได้ ซึ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหนองน้ำแห่งนี้ก็ไม่ปรากฏว่ามีจระเข้อีกเลย เมื่อครั้งที่เกิดสงครามอินโดจีน ปี พ. ศ.2486 ท่านเคยแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ในด้านพุทธคุณ ฝรั่งเศสได้ส่งเครื่องบินขับไล่มาทิ้งระเบิดถล่มนาเกลือหมายถล่มเมืองอุดรธานีให้แหลกเป็นจุณ หลวงพ่อสามารถทำนายได้ว่าวันนี้จะมีการทิ้งระเบิดที่ไหน กี่ลูก หลวงพ่อก็รู้หมด แต่หลวงพ่อบอกว่าอย่าตกใจ เพราะลูกระเบิดนั้นจะไม่ระเบิด ซึ่งก็เป็นจริงดังหลวงพ่อบอกทุกประการ เมื่อเครื่องบินมาทิ้งระเบิดหลวงพ่อได้นั่งภาวนากำหนดจิตปัดเป่าภัยร้าย ลูกระเบิดที่ทหารฝรั่งเศสทิ้งลงมาจากเครื่องบิน แทนที่จะตกในเขตชุมชนกลับมาตกในหนองประจักษ์ฯ ที่กลางเมืองอุดรธานี และไม่ระเบิดแม้แต่ลูกเดียว ชาวเมืองอุดรธานีจึงปลอดภัยได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง ผู้คนในยุคนั้นเชื่อว่าหลวงพ่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เพราะท่านเคยรักษาคนป่วย คนบ้า คนถูกคุณไสย์และผีปอบเข้า ด้วยน้ำพระพุทธมนต์จนหายเป็นปกติทุกราย มีชาวบ้านบางคนเห็นท่านทำความเพียร จนตัวท่านลอยขึ้นไปถึงหลังคาพระอุโบสถ
ต่อมาในปี พ.ศ. 2489 หลวงพ่อก็อาพาธด้วยโรคชราภาพ มีลูกศิษย์ลูกหาคอยดูแลรักษาปรนนิบัติ เป็นต้นว่า หลวงปู่หนู หลวงปู่โชติ พร้อมญาติโยม ตอนที่หลวงพ่อจะมรณภาพนั้นก็ได้บอกให้ลูกศิษย์ออกไปอยู่ข้างนอกและให้ปิดประตูไว้ เวลา 5 ทุ่ม ก็ปรากฏว่าได้มีแสงสว่างเหนือกุฏิ ลูกศิษย์จึงได้เปิดประตูเข้าไปและพบว่าท่านได้มรณภาพแล้ว หลวงพ่อพิบูลย์ได้มรณภาพในท่าสหไสยาสน์ สิริรวมอายุได้ 135 ปี บรรดาลูกศิษย์เมื่อทราบข่าวจึงพากันมาขอรับศพกลับคืนวัดพระแท่นบ้านแดง แต่เกิดปัญหาก็เลยต้องขอความร่วมมือกับทางข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เคารพศรัทธาในตัวท่านให้ช่วย ชาวบ้านและลูกศิษย์จึงได้นำศพกลับคืน โดยชาวบ้านนำเกวียนมา 100 เล่ม แห่ศพหลวงพ่อกลับคืนที่วัดพระแท่น และได้บรรจุศพหลวงพ่อไว้นานหลายปี ต่อมา เจ้าอธิการคำพันธ์ คันธะโร ได้พาชาวบ้านสร้างเจดีย์เสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2504 จึงได้ทำพิธีเผาศพ เมื่อปี พ.ศ. 2504 และในพิธีเผาศพก็ได้เกิดเหตุมหัศจรรย์ เช่น ไฟไหม้กงเกวียนที่บรรจุศพของท่านจนต้องใช้น้ำรดตลอด เป็นต้น แสดงว่าคำทำนายของหลวงพ่อถูกต้องหมดทุกอย่างตามที่ทำนายและวางผังไว้ทุกประการ 
หลวงพ่อพิบูลย์ท่านมรณภาพ หรือ ละสังขาร เมื่อวันขึ้น 7 ค่ำ เดือน 3 พ.ศ. 2489 ณ วัดโพธิสมภรณ์ในตัวเมืองจังหวัดอุดรธานี
เมื่อ พ.ศ. 2504 เผาศพ จึงได้เก็บอัฐินำมาบรรจุที่เจดีย์ หลังจากที่ท่านละสังขารไปแล้วในวันพระชาวบ้านก็มักจะเห็นลำแสงพุ่งออกจากยอดพระเจดีย์ซึ่งบรรจุอัฐิของท่านไว้ แล้วลำแสงก็ค่อยเคลื่อนย้ายไปลงที่ต้นโพธิ์ใหญ่กลางหมู่บ้าน ต่อมาไม่นานลำแสงก็จะพุ่งขึ้นจากต้นโพธิ์ลอยกลับคืนมายังเจดีย์อยู่เป็นประจำชาวบ้านมักจะเรียกสิ่งนี้ว่าพระธาตุหลวงปู่เสด็จ 
เมื่อ พ.ศ. 2507 หลวงพ่อชมได้พาชาวบ้านหล่อรูปเหมือนท่านมาประดิษฐานไว้ในพระวิหาร พร้อมกับสร้างเหรียญรุ่นแรก ( ห้าเหลี่ยมมีรูปฝ่ามือฝ่าเท้า ) รุ่นแรก จำนวน 4,000 เหรียญ แยกเป็นเหรียญทองแดงจำนวน 2,000 เหรียญ และ เป็นเหรียญทองเหลืองอีกจำนวน 2,000 เหรียญ
เหรียญหยดน้ำรุ่นแรก สร้างปี พ.ศ. 2485 ก่อนหลวงพ่อมรณภาพ เนื้อทองแดง ถ้าสภาพสมบูรณ์ ยุคก่อนราคาตั้งแต่ 20,000-50,000 บาท ปัจจุบันราคาเกินแสนหรือหลายแสนแล้ว แต่ก็ยังหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก ไม่เป็นการพูดเกินเลยหากจะบอกว่าประเมินราคาไม่ได้ แต่เป็นคุณค่าทางจิตใจที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนที่มีไว้ครอบครอง
เหรียญหลวงพ่อพิบูลย์ที่หลวงปู่ชมเป็นผู้สร้าง พ.ศ. 2507 คือ
รุ่น 2 ( ห้าเหลี่ยมรุ่นแรก ) มีทั้งเนื้อทองแดงและทองเหลือง เป็นเหรียญที่นิยมมากเนื่องจากตำรวจที่ห้อยลงไปปฏิบัติหน้าที่สามจังหวัดภาคใต้รอดกลับบ้านทุกคน จึงมีของปลอมออกมาเป็นจำนวนมาก 
เหรียญหยดน้ำจะไม่มีใครนำมาให้บูชาเนื่องจากหายากมาก เอาง่ายๆว่าขนาดคนในพื้นที่แค่ได้เห็นเป็นบุญตาก็ถือว่าสุดยอดแล้ว 
แม้หลวงพ่อจะละสังขารไปกว่า 60 ปีแล้วก็ตาม แต่ความศักดิ์สิทธิ์ของท่านยังเอื้อประโยชน์ให้กับชาวบ้านแดงหรือชาวอีสานเหมือนเดิม สามีภรรยาคู่ไหนแต่งงานกันมานานแล้วไม่มีลูกสืบสกุล ก็ให้จัดแต่งดอกไม้ธูปเทียน “ ขันธ์ห้า ” ไปกราบไหว้ขอลูกจากท่าน จากนั้นไม่นานภรรยาก็จะตั้งครรภ์และมีลูกสืบสกุลทุกรายไป แม้แต่ลูกหลานจะไปสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยหรือหนุ่มฉกรรจ์จะไปทำงานต่างประเทศ วัว ควาย สิ่งของมีค่าหาย เพียงแต่แต่งดอกไม้ธูปเทียน “ ขันธ์ห้า ” ไปกราบไหว้ขอพรจากรูปเหมือนของท่าน ก็จะสมหวังตามความปรารถนาทุกราย นี่มิใช่นิทานหลอกเด็กหรือกล่าวขานเกินจริง แต่ผู้ที่มีความเชื่อความศรัทธา ต่างก็เคยพิสูจน์ได้ผลมาแล้ว

หมายเหตุ 
ในหนังสือ “ ก่อนจะมาเป็นโรงพยาบาลอุดรธานี ” โดย วัฒนา ช้างรักษา ได้บันทึกเป็นประวัติของโรงพยาบาลอุดรธานีไว้ว่า( ข้อความตามต้นฉบับทุกประการ )
“ ก่อนสงครามอินโดจีน และสงครามโลกครั้งที่ ๒ เกิดขึ้น เจ้าเมืองอุดรธานีท่านหนึ่ง ได้มีคำสั่งให้ไปจับหลวงปู่พิบูลย์ (หลวงปู่บ้านแดง) ต.บ้านแดง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี ปัจจุบันคือ ต.บ้านแดง อ.พิบูลย์รักษ์ จ.อุดรธานี มาทำการสอบสวนในข้อหา “ ก่อกบฏผีบุญ ” ทั้งนี้เพราะหลวงปู่ท่านมีความสนใจในเรื่องธรรมปฏิบัติจนสามารถนั่งภาวนาอยู่ในโบสถ์วัด ต.บ้านแดง จนตัวลอยขึ้นถึงเพดานโบสถ์ มรรคทายกวัดและชาวบ้านเห็นก็เกิดข่าวร่ำลือไปทั่วทุกหนทุกแห่ง แม้หลวงปู่ท่านจะสั่งให้ชาวบ้านไปตัดไม้ต้นใหญ่โอบหลายคนจึงรอบ ที่ริมฝั่งห้วยหลวง แต่ต้นไม้ได้หลุดลงไปในห้วยไม่สามารถนำขึ้นได้จึงมาแจ้งให้หลวงปู่ทราบ หลวงปู่ก็บอกชาวบ้านว่า เอาไว้นั้นละ จักหน่อยจะไปเอาขึ้นดอก เมื่อชาวบ้านกลับไปกินข้าวกลางวัน หลวงปู่ก็ได้ไปที่ต้นไม้ที่ชาวบ้านตัดตกลงไปในลำห้วยหลวงไม่ทราบว่าไปทำอะไร จนกระทั่งชาวบ้านกลับไปและเห็นต้นไม้ถูกยกขึ้นมาขึ้นห้างเตรียมเลื่อยที่ริมลำห้วย จึงพากันแปลกใจ หลวงปู่เอาขึ้นมาได้ยังไง จึงไปสอบถาม หลวงปู่ก็บอกว่า เทวดาเขามาช่วยยกขึ้นมาตามที่พวกเอ็งเห็นนั่นแหละชาวบ้านจึงจัดการเลื่อยได้ไม้แปรรูปมาสร้างวัดสร้างกุฏิอาศัย 
ชื่อเสียงของพระปฏิบัติอย่างหลวงปู่บ้านแดง ดังออกไปทุกสารทิศ สร้างความแปลกใจถึงผู้นำประเทศอย่าง จอมพล ป.พิบูลสงคราม ท่านจึงคิดว่า หลวงปู่บ้านแดง เป็นพวกผีบุญและได้รับรายงานจากเจ้าเมืองว่า จะก่อการกบฏด้วย จึงสั่งจับ หลวงปู่ ไปถ่วงน้ำทะเลที่ จ.ภูเก็ต เป็นเวลา 7 วัน เมื่อเอาหลวงปู่ขึ้นมาก็ปรากฏว่า หลวงปู่ไม่ตาย จอมพล ป.ทราบเรื่อง จึงเห็นว่าหลวงปู่ไม่ใช่ “ ผีบุญ ” แต่เป็น “ ผู้มีบุญ ” มาโปรดสัตว์โลก จึงไปขอหลวงปู่ว่า ให้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “ พิบูลย์ ” ตามนามพระราชทานของท่านว่า “ หลวงพิบูลย์สงคราม ” หลวงปู่รับคำเพราะท่านไม่ต้องการสร้างเวรสร้างกรรมกับใคร จากนั้นหลวงปู่ก็กลับบ้านแดง ต่อมาก็เกิดมีเรื่องลือว่า หลวงปู่จะก่อการกบฏผีบุญอีก คราวนี้เจ้าเมืองเองเป็นผู้สั่งให้จับหลวงปู่ไปให้ “ หลวงปู่ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ ” สอบสวนที่วัดโพธิสมภรณ์ เมืองอุดรธานี ตลอดเส้นทางบ้านแดง – สามพร้าว – เมืองอุดรธานี ท่านถูกตำรวจคนที่ไปจับกุมท่านเตะถีบมาตลอดทาง สุดท้ายกรรมตามสนอง ตำรวจนายนั้นก็มีอันเป็นไปโดยเป็นบ้าวิกลจริตจนกระทั่งตาย 
พอมาอยู่วัดโพธิสมภรณ์ แต่ละวันหลวงปู่ก็ได้ออกช่วยชาวบ้านที่ถูกผีปอบเข้า ผีสิง ป่วยไข้ โดยท่านใช้ยาสมุนไพร และธรรมะเข้ารักษา จนชาวบ้านหายป่วย และชื่อเสียงของท่านเป็นที่เลื่องลือออกไป ชาวบ้านที่ป่วยไข้ ผีปอบเข้า ผีสิง ถูกปราบเรียบ คนป่วยยิ่งแน่นทุกวัน ท่านจึงไปให้ชาวบ้านสร้างกระตอบรักษาขึ้นมามากมายตรงบริเวณโรงพยาบาลอุดรธานีในปัจจุบัน 
ต่อมาได้เกิดสงครามอินโดจีน พวกฝรั่งเศสจากประเทศลาวได้ขับเครื่องบินมาทิ้งระเบิดที่อุดรธานี หลวงปู่ก็ได้นั่งภาวนา เพื่อปัดเอาลูกระเบิดที่จะทิ้งลงใส่ศาลากลางจังหวัด และจวนผู้ว่าราชการจังหวัด ไปตกที่บริเวณหนองประจักษ์ โดยไม่มีลูกระเบิดลูกใดระเบิดเลย นับเป็นเรื่องที่ร่ำลือในยุคนั้นมากมาย ต่อมาเมื่อหลวงปู่ พ้นข้อหาเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว ชาวบ้านแดง ก็นำคาราวานขบวนเกวียนนับเป็นร้อยมารับหลวงปู่กลับบ้านแดง 
เมื่อบ้านเมืองสงบ ในขณะนั้น น.พ.เกษม จิตตยโศธร ลูกชายของ พระยาอุดร จบการเรียนแพทย์มาจากกรุงเทพ ฯ จึงได้มีความดำริจัดตั้งโรงพยาบาลอุดรธานีขึ้นมา โดยสร้างขึ้นที่บริเวณหลวงปู่บ้านแดง สร้างกระต๊อบนับหลายสิบหลังรักษาคนป่วยไข้ ผีปอบเข้า ผีสิง และโรงพยาบาลอุดรธานี ก็เกิดขึ้นตั้งแต่บัดนั้น

แหล่งที่มา: g-pra.com

Tuesday, August 21, 2012

พบเจ้าพลายน้อย

ประสบการณ์

จากธุดงควัตร

พบเจ้าพลายน้อย


     หลังจากหลวงพ่อสังข์ถูกผีกงกอยจกตับไปกิน และชาวบ้านพร้อมทั้งพระสิมและสามเณรพรได้นำศพหลวงปู่สังข์ลงมาแล้ว หลวงปู่สุภาก็เดินธุดงค์ตามลงมา และแยกทางที่บ้านผาทุง  พระสิมและสามเณรพรก็กลับถ้ำภูเขาควาย

     ส่วนหลวงปู่สุภาเดินธุดงค์ลงมาทางผาทุง บ้านเวิน บ้านนาทาน บ้านอิลาน   บ้านผาทุงเป็นท่าแสม คือเป็นบ้านกำนันทางฝั่่งลาวเขาเรียก "ท่าแสม"  หมายถึงบ้านกำนัน จากนั้นท่านก็ตรงมาพักที่มหาไทรกองแก้ว จนกระทั่งหลงทางอยู่ในป่า หาทางออกไม่ได้เป็นเวลา 15 วัน  ไม่ได้ฉันอาหารเลย นอกจากน้ำ

     ขณะหลวงปู่ได้ปลักกลดอยู่บนชะง่อนผา ได้มีช้างโขลงหนึ่ง เข้ามาจะทำร้ายแต่ในที่สุด มีช้างอีกเชือกหนึ่งขับไล่ช้างตัวอื่นๆไป ช้างเผือกนั้นเป็นช้างตัวผู้หนึ่งช้างพลาย ได้ชูงวงเหมือนกับทำท่าเคารพท่าน หลวงปู่ท่่านจึงแผ่เมตตาบอกเจ้าช้างพลายเชือกนั้นว่า ตอนนี้หลวงปู่หลงทางเป็นเวลา 15 วันแล้ว ขอให้เจ้าพลายน้อยช่วยพาหลวงปู่ออกจากป่าด้วย เจ้าพลายน้อยแม้ว่าจะเป็นสัตว์ป่า แต่ก็สามารถกำหนดรู้ความต้องการของท่านได้ ก็ออกเดินทางนำหน้าหลวงปู่ไป ท่านจึงตามมันไป เจ้าพลายน้อยพาหลวงปู่บุกป่าออกมาเป็นระยะทางไกลมาก จนในที่สุดก็มาถึงชายป่า ซึ่งเป็นที่ๆหลวงปู่สามารถกำหนดเส้นทางเดินต่อไปได้ แล้วเจ้าพลายน้อยก็หยุดนิ่งราวกับรู้สึกอาลัยอาวรณ์ที่จะต้องจากกัน

ภาพจากหนังสือฉลองอายุ ๑๐๐  ปีหลวงปู่สุภา

     ในครั้งนั้นหลวงปู่ยืนเพ่งญาณ ก็กำหนดรู้ว่าเจ้าพลายน้อยตัวนี้เมื่อชาติก่อนเป็นคนมีศีลมีธรรม แต่ก็มีกรรมให้ต้องไปเกิดเป็นช้างป่าหลงพ่อแม่ และชาตินี้เป็นการชดใช้กรรมชาติสุดท้ายแล้วละจากภพนี้ไป สามารถไปเกิดเป็นมนุษย์ได้ หลวงปู่จึงบอกกับเจ้าพลายน้อยว่า "อดทนต่อไปอีกหน่อยนะ ต่อไปเจ้าก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์ และอนิสงส์ที่เจ้าได้ช่วยเหลือพระในพระพุทธศาสนา เจ้าอาจจะได้พบพระพุทธศาสนา ได้ศึกษาธรรมะ และปฏิบัติตามแนวของพระพุทธองค์ ถ้าหากเรายังมีวาสนาต่อกัน ในชาตินี้ก็คงจะได้มีโอกาสพบกันอีก  หลวงปู่ขออวยพรให้เจ้าไปเกิดเป็นมนุษย์เร็วๆ เพื่อเราจะได้พบกันในชาตินี้" กล่าวจบแล้วหลวงปู่ก็จากมา เจ้าพลายน้อยยืนมองท่านอย่างอาลัยอาวรณ์ จนสุดสายตา


     เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ขณะที่หลวงปู่มาจำพรรษาอยู่ที่ภูเก็ต ณ ที่สำนักสงฆ์เทพขจรจิตร ก็เกิดเรื่องมหัศจรรย์จนเป็นที่ฮือฮา กันขึ้นกับบรรดาลูกศิษย์ลูกหา และผู้ไปมาหาสู่กับหลวงปู่คือได้มีสามเณรน้อยรูปหนึ่ง ไม่ทราบว่าเดินทางมาจากที่ใดมา สืบหาหลวงปู่ตามลักษณะและชื่อ ในที่สุดได้มาถึงสำนักสงฆ์เทพขจรจิตนั้น ด้วยบุคลิกลักษณะของสามเณรนั้น ออกจะพิเศษพิสดารต่างไปจากมนุษย์ธรรมดาๆอย่างหนึ่ง คือใบหูทั้งสองข้างกางและยาวมาก ที่สำคัญสามารถกระดิกหูได้ด้วย จึงเป็นที่ฮือฮาของผู้พบเห็น ครั้นเมื่อสามเณรดังกล่าวได้เข้าไปกราบหลวงปู่เสร็จแล้ว ก็เงยหน้าขึ้น พอหลวงปู่ได้เห็นหน้าสามเณรรูปนั้นชัดเจน ท่านก็ได้กล่าวทักขึ้นก่อนว่า "อ้าว เจ้าพลายน้อยนั่นเอง ในที่สุดเราก็เจอกันจริงๆนะ"  หลวงปู่ไม่ได้บอกผู้ใดว่าสามเณรนั้น แท้จริงคือเจ้าพลายน้อย ช้างหลงพ่อแม่ที่เคยพาท่านไปส่งถึงชายป่า เมื่อท่านหลงป่าก่อนหน้านี้ ท่านเองก็เคยได้เล่าเรื่องหลงป่า ได้พบช้างพลายให้บรรดาลูกศิษย์ฟัง บรรดาลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดก็ได้ทราบทันทีว่า สามเณรรูปนี้แหละคือเจ้าพลายน้อยที่หลวงปู่เคยเล่าให้ฟัง นับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ไม่ใช่น้อย เรื่องนี้ยังเล่าขานกันไม่รู้จบ ตราบจนทุกวันนี้

     สามเณรน้อยหรืออดีตเจ้าพลายน้อย มากราบหลวงปู่ ขออยู่ศึกษาวัตรปฏิบัติ กับท่านระยะหนึ่งจึงได้เดินทางกลับ ปัจจุบันสามเณรน้อยรูปนี้ได้ลาสิกขาบท เป็นฆราวาสทำสวนทำไร่อยู่ในป่าแถวสกลนคร

ที่มา: หนังสือฉลองอายุ 100 ปี หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล
         สำนักสงฆ์เทพขจรจิตรอุทิศสามัคคีธรรม (เขารัง)

ประวัติหลวงปู่คำบุ คุตตจิตโต


     หลวงปู่คำบุ คุตตจิตโต เป็นพระสงฆ์ที่เล่าขานกันว่าทรงคุณพุทธาคมเข้มขลัง แห่งวัดกุดชมภู ต.กุดชมภู อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ท่านเป็นศิษย์สายตรงของพระครูวิโรจน์รัตโนมล (หลวงปู่รอด นันตโร) แห่งวัดทุ่งศรีเมือง และอดีตเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี พระเกจิอาจารย์ผู้มีความเข้มขลังมีพลังจิตสูง
     ชาติภูมิ หลวงปู่คำบุ ถือกำเนิดเกิด ณ บ้านกุดชมภู เมื่อวันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2465 ตรงกับวันจันทร์ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ปีจอ เกิดในตระกูล คำงาม โยมบิดา-มารดา ชื่อนายสาและนางหอม คำงาม ครอบครัวทำนาทำสวน หลวงปู่คำบุ ปัจจุบันท่านอายุ 86 ปี มีชื่อ-นามสกุลเดิมว่า คำบุ คำงาม ท่านเป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 6 คน

     กาลต่อมาท่านเจริญวัยขึ้น มีอายุอันสมควร บิดามารดาได้ให้บรรพชาในปี พ.ศ.2482 ณ วัดกุดชมภู โดยมี พระครูญาณวิสุทธิคุณ (กอง) วัดตากโพธิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์
     ภายหลังบวช ท่านได้มีโอกาสเดินทางไปกราบไหว้ พระครูวิโรจน์รัตโนมล (หลวงปู่รอด นันตโร) วัดทุ่งศรีเมือง เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี และได้รับความเมตตาโอบอ้อมอารีจากหลวงปู่รอดเป็นอย่างยิ่ง

      อุปนิสัยของสามเณรคำบุ เป็นผู้ใฝ่เรียนรู้จึงมีโอกาสได้พบกับพระอาจารย์รอด วัดบ้านม่วง ผู้เป็นศิษย์อุปัฏฐากหลวงปู่รอด นันตโร แห่งวัดทุ่งศรีเมือง ด้วยเหตุนี้พระอาจารย์รอดจึงได้อยู่รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่รอดจวบจนท่านได้ มรณภาพลง พระอาจารย์รอดก็กลับมาพำนักพักที่วัดบ้านม่วงตามเดิม
    
พระปลัดวิชาญ นิมนต์เกจิดังแห่งแดนอีสานใต้ หลวงปู่คำบุ วัดกุดชมภู เข้าร่วมงาน

แสดงมุทิตาจิตในวันคล้ายวันเกิด หลวงปู่สุภา กันตสีโล ที่มีสิริอายุถึง 118 ปี ในปีนี้

     กล่าวสำหรับพระอาจารย์รอด วัดบ้านม่วง ท่านเป็นพระที่มีวิทยาคมแก่กล้า พระอาจารย์รอดเป็นคนบ้านเดียวกันกับสามเณรคำบุ (สมัยบวชเณร) จึงมีความคุ้นเคยกันมาก่อน

      ด้วยความที่สามเณรคำบุเป็นผู้มีนิสัยสงบเรียบร้อย ใจเย็น มีเหตุมีผล เหตุนี้เองพระอาจารย์รอด จึงได้ถ่ายทอดวิทยาคมต่างๆ ที่ได้ร่ำเรียนมาแก่สามเณรคำบุตั้งแต่นั้นเรื่อยมา จวบจนถึงวัยอุปสมบทเป็นพระภิกษุ จึงอุปสมบท เมื่อปี พ.ศ.2486 ได้รับฉายาว่า "คุตตจิตโต" มี พระครูสาธุธรรมจารี (สา) วัดดอนจิก เป็นพระอุปัชฌาย์

     ครั้นบวชเป็นพระแล้ว หลวงปู่คำบุท่านยังคงแวะเวียนไปร่ำเรียนสรรพวิชาเวทมนตร์คาถาอาคมต่างๆ กับพระอาจารย์รอด ที่วัดบ้านม่วงอยู่เป็นประจำ ได้ศึกษาศาสตร์วิชาต่างๆ จากตำรา จนมีความชำนาญแตกฉานจึงออกเดินธุดงค์เพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ หลวงปู่คำบุได้มีโอกาสร่ำเรียนวิชาวิปัสสนากรรมฐานและวิทยาคมจากพระอาจารย์ที่มีความ ชำนาญด้านพระคาถาอาคมหลายรูปจนวิชาแกร่งกล้า จึงได้กลับมาจำพรรษาอยู่ที่ วัดกุดชมภูจนถึงปัจจุบัน


     
     มีเรื่องน่าสนใจอยู่ตอนหนึ่ง เนื่องจากพระอาจารย์รอดท่านเป็นพระที่ร้อนวิชาชอบลองวิชาอยู่เสมอ เมื่อร่ำเรียนวิชาอาคมแขนงใดได้ก็จะนำมาทดสอบหรือทดลองวิชานั้นอยู่เป็นประจำ

     มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านได้สำเร็จวิชาหุงสีผึ้งมหาเสน่ห์ แล้วทำการทดลองปรากฏว่าบรรดาญาติโยมทั้งหญิงและชายแห่เข้ามาที่วัดเพื่อมาขอ สีผึ้งมหาเสน่ห์จากท่านอย่างมากมาย จนไม่มีเวลาประกอบกิจสงฆ์อันใดได้ ท่านจึงย้ายมาอยู่กับพระภิกษุคำบุ ที่วัดกุดชมภูและได้เขียนตำราเพื่อมอบให้กับพระภิกษุคำบุไว้ศึกษาเล่าเรียน สืบต่อไป


     พระภิกษุคำบุได้ศึกษาศาสตร์วิชาต่างๆ จากตำรา จนมีความชำนาญแตกฉาน จึงออกเดินจารึกธุดงค์เพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ ได้มีโอกาสร่ำเรียนสายวิชาวิปัสสนากรรมฐานและวิทยาคมต่างๆ ในสายของท่านสำเร็จลุน แห่งวัดเวิ่นไชย เมืองปาเซ นครจำปาสัก พระผู้ทรงอภิญญา
     
     นอกจากการศึกษาวิชาทางด้านวิปัสสนากรรมฐานแล้ว สรรพวิชาอาคมทุกแขนง หลวงปู่คำบุท่านก็มีความชำนาญและได้หมั่นศึกษาฝึกฝนอยู่เป็นประจำ ตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์


     ปัจจุบัน หลวงปู่คำบุ คุตตจิตโต วัดกุดชมภู มีอายุถึง 86 ปี แต่ยังคงให้ความเมตตาศิษยานุศิษย์อย่างสม่ำเสมอ ในทุกวันอังคาร เสาร์ และอาทิตย์ ท่านจะประกอบพิธีลงเหล็กจารอักขระธรรมอักษรลาว ลงบนแผ่นหลังของบรรดาลูกศิษย์ที่เดินทางมาจากสถานที่ต่างๆ ด้วยความเมตตา


     การจารอักขระธรรมลงแผ่นหลังของหลวงปู่คำบุ ถือเป็นกุศโลบายทางธรรมเพื่อบ่งบอกถึง "ความประมาทเป็นบ่อเกิดแห่งความตายหรือความหายนะ" ดังนั้นควรตั้งมั่นไม่ให้อยู่ในความประมาท ที่สำคัญถ้าท่านได้จารอักขระธรรมได้ครบถึง 7 ครั้ง ว่ากันว่าอักขระธรรมจะฝังลึกถึงกระดูกและถ้าประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งของครู บาอาจารย์อย่างเคร่งครัดแล้ว จะอยู่ยงคงทน ต่อศาสตราวุธทั้งปวง


แหล่งที่มา: คอลัมน์ อริยะโลกที่ 6
                   อนุชา ทรงศิริ

      หน้า 31 ที่มาหนังสือพิมพ์ข่าวสด

Monday, August 20, 2012

กำหนดการงานแสดงมุทิตาจิต แด่หลวงปู่สุภา กันตสีโล ในวันที่ 17 กันยายน 2555

กำหนดการ งานฉลองอายุวัฒนมงคลและแสดงมุทิตาจิตสักการะ ถวายหลวงปู่สุภา กันตสีโล ในวาระอายุครบ 118 ปี ซี่งจะจัดในวันจันทร์ที่ 17 กันยายน 2555 ที่วัดคอนสวรรค์ บ้านค้อเขียว ตำบลค้อเขียว อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร

โดยงานนี้เป็นการร่วมมือกันของชาวคำบ่อ, วัดคอนสวรรค์, และลูกศิษย์หลวงปู่

และนอกจากนี้ก่อนหน้างานมุทิตาจิต หนี่งวัน จะมีงานบวชชีพราหมณ์, ทำวัตรเย็น, สวดมนต์นั่งสมาธิ และ ฟังธรรมเทศนา จากพระอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ 4 รูป





พระมหาเถราจารย์ 12 รูป  ประกอบด้วย
1. หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล
2. หลวงปู่คำบุ คตฺตจิตโต วัดกุดชมภู จ.อุบลราชธานี



หมายเหตุ: รายชื่อพระมหาเถราจารย์รออัพเดท

Sunday, August 19, 2012

เล่าเรื่องผีกงกอย

ประสบการณ์
จากธุดงค์วัตร

เล่าเรื่องผีกงกอย

     เมื่อครั้งที่หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล อยู่ปฏิบัติศึกษาวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงปู่สีทัตต์ ที่ถ้ำภูเขาควาย ประเทศลาว เข้าปีที่ห้า หลวงปู่สีทัตต์ได้ให้ท่านออกธุดงค์ ระยะแรกให้มีเพื่อนไปด้วย 2-3 รูป ชื่อพระสิม หลวงพ่อสังข์และสามเณรพร รวมเป็น 4 รูป 

     เริ่มออกธุดงค์จากถ้ำภูเขาควายขึ้นไปทางผาต๊อหน่อคำ อำเภอเซโปน จังหวัดเซโปน แขวงคำม่วน ประเทศลาว เป็นที่ๆ หลวงปู่สีทัตต์สั่งให้ท่านไปเพื่อทดสอบสมาธิและอุปนิสัย เมื่อเดินธุดงค์ไปถึงผาต๊อหน่อคำ (ทองคำ)  ชาวบ้านเล่าว่าพวกฝรั่งเศสเอาปืนยิงหน่อคำ (ทองคำ) เป็นยอดแหลมลงมาสัง 4-5 วา  ให้หลุดลงมา  แต่พวกฝรั่งเศสทำไม่สำเร็จเพราะโดนผีกงกอยกินตับหมด  จึงไม่มีใครสามารถเอาหน่อคำ (ทองคำ) ไปได้
     ที่ผาต๊อหน่อคำ มีผีกงกอยปกปักรักษาอยู่  เมื่อหลวงปู่สุภาและคณะธุดงค์มาถึงได้ปักกลดเรียงๆกัน ท่านจำได้ถึงคำสั่งของหลวงปู่สีทัตต์ให้ระวังว่า แม้ว่าเราจะมีศีล  แม้ว่าเราจะมีธรรม  ควรเคารพเจ้าป่าเจ้าเขา  ท่านเตือนไว้ว่า  ในถิ่นนั้นมีผีกงกอยอยู่ชุกชุม  หากหลวงพ่อสังข์ลืมคำสั่งสอนของหลวงปู่สีทัตต์ที่ว่า  หนึ่ง  ไม่ให้ตากผ้าทับพุ่มไม้ต่างๆ  สอง  ถ้าไปเอาฟืนต้มน้ำอย่าลากมา ให้แบกหรือหอบมา ถ้าขืนลากมาเมื่อถูกผีป่า  เราจะป้องกันไม่ได้เพราะเราทำผิด  ไม่ว่าพระ  ไม่ว่าใครๆทั้งหมด ย่อมทำผิดได้  เมื่อทำผิดแล้วอะไรเกิด ไม่มีใครแก้ไขได้  หลวงพ่อสังข์เกิดลืมนำมีดติดตัวไป จึงต้องลากไม้มา ทำให้หลวงพ่อสังข์ต้องมรณะภาพที่นั่นเอง


ภาพประกอบจากหนังสือ
๑๐๐ ปี หลวงปู่สุภา กันตสีโล
     พอตกกลางคืนตอนดึก ก็ได้ยินเสียงร้องของผีกงกอย ร้องว่า "กงก้อย กงก้อย ๆ" อย่างนี้ ถ้าเราทำผิดไปลากฟืนมา มันจะออกมาแล้วร้อง "ก่งก้อย กงก้อย กั๊ก" ไม่คนใดคนก็คนหนึ่งจะต้องมีอันเป็นไป ครั้นตกดึกมากๆ จะมีเสียงร้องคราง "อุ๊ย" เดียวเท่านั้น พอไปเปิดดู มีพดไม้ปิดทวาร เจ้าผีกงกอยล้วงตับไปกิน เมื่อหลวงพ่อสังข์มรณะภาพ พระสิม สามเณรพร ได้ลงมาหาชาวบ้านให้ช่วยหามศพ หลวงพ่อสังข์ ไปเผา
    สามเณรพร พระสิม เกิดความกลัวมาก จึงลาหลวงปู่สุภา กลับไปยังถ้ำภูเขาควาย เมื่อหลวงปู่สีทัตต์ถามว่า "ทำไม ไม่กลับพร้อมกันหมด กับหลวงปู่สุภา?" ก็ได้ตอบหลวงปู่สีทัตต์ว่า "หลวงพ่อสังข์ตายแล้ว" หลวงปู่สีทัตต์ถามว่า "ทำไมถึงตาย" ได้คำตอบว่า "หลวงพ่อสังข์ไปลากฟืน จึงถูกผีกงกอย จกตับไปกิน"  หลวงปู่สีทัตต์ถามต่อไปว่า "ทำไมปล่อยให้ลูกสุภาอยู่องค์เดียว"  ทั้งสองตอบหลวงปู่สีทัตต์ว่า "หลวงพ่อสุภา ท่านไม่กลับ ท่านมุ่งจะธุดงค์ต่อไปตามลำพัง" หลวงปู่สีท้ตต์จึงให้ญาติโยมไปตาม 

     ขณะนั้นหลวงปู่สุภาอายุ ๓๓ ปี บวชมาได้ ๑๓ พรรษา ญาติโยมไปตามบอกว่า หลวงปู่สีทัตต์ให้มารับกลับ แต่ท่านไม่ยอมกลับเนื่องจาก ได้นั่งพินิจพิจารณาว่า "เอ เราก็ได้ตั้งสัจจะอธิษฐานแล้วว่า จะออกธุดงค์สัก ๒ เดือน ไว้เมื่อครบ ๒ เดือนแล้วจึงจะกลับ"  ตกลงหลวงปู่สุภาก็ไม่กลับ ญาติโยมก็เลยกลับไปที่ถ้ำภูเขาควาย กราบเรียนหลวงปู่สีทัตต์ หลวงปู่สุภาจึงเดินธุดงค์ต่อไปองค์เดียว และได้เดินย้อนกลับลงมาหลงป่าอยู่นานถึง ๑๕ วัน ไม่ได้ฉันจังหันเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งได้พบช้างพลาย มานำทาง มาส่งที่ชายป่า (จะเล่าในตอนพบ เจ้าช้างพลายน้อย)



     หลวงปู่สุภา เล่าให้ฟังต่อไปว่า หน่อคำ คือทองคำที่ผาต๊อ เป็นทองคำแท่งย้อย ลงมาจากหน้าผาของเขาลูกนั้นงอกขึ้นตามธรรมชาติ จึงเรียกว่า ผาต๊อหน่อคำ หมายถึง ทองคำงอกย้อยออกมาบนภูเขาเป็นหน่อๆ ที่ชันเป็นหน้าผาชะโงกออกไป ข้างบนหน้าผาเต็มไปด้วยหน่อคำ แต่ไม่มีใครขึ้นไปถึง

    มีลูกศิษย์กราบเรียนถามท่านว่า ลูกร่างผีกงกอยเป็นอย่างไร ท่านอธิบายว่า ผีกงกอย มีรูปร่างสูงแค่คืบ เป็นเพศหญิงไม่มีเพศชาย แต่มีพละกำลังมากมาย ใครอยากเห็นผีกงกอย ให้เดินด้วยส้นเท้า แต่ถ้าใครไม่อยากพบผี ให้เดินเขย่งปลายเท้า ปกติผีกงกอย จะอาศัยอยู่ตามภูเขา ที่มีน้ำซับไหลลงมา ผีพวกนี้กินปูหอยเป็นอาหาร ตาเนื้อของคนเราสามารถมองเห็นผีกงกอยได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ตาทิพย์ เวลาที่ผีกงกอยจะจกตับไปกิน เราจะมองไม่เห็นตัวมัน แต่ได้ยินเสียง ถ้าเมื่อไรได้ยินมันร้อง "กงก้อย กงก้อย กั๊ก กงก้อย กั๊ก" แสดงว่ามันจกตับไปกินเรียบร้อยแล้ว ผีจำพวกนี้ไม่กินอย่างอื่น นอกจากจะกินเฉพาะตับเท่านั้น คนทางภาคอีสาน จึงมักจะใช้เรื่องของผีกงกอย มาขู่เด็กๆทุกวันนี้  ท่านเล่าว่า ผีกงกอย ก็ยังมีอยู่ แม้กระทั่งหน่อคำบนหน้าผานั้น ก็ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ เพราะไม่มีใครที่จะสามารถขึ้นไปเอาหน่อคำนั้นลงมาได้


ภาพประกอบจากหนังสือ ๑๐๐ ปี หลวงปู่สุภา



ที่มา: หนังสือฉลองครบรอบอายุ ๑๐๐ ปี หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล

Saturday, August 18, 2012

ผีกองกอย

     กองกอยเป็นชื่อผีป่าพวกหนึ่ง มีชื่อเสียงอยู่ทางภาคอีสานและทางฝั่งประเทศลาว ที่มีชื่อเช่นนี้เพราะว่ามันร้อง"กองกอย" แต่บางแห่งว่า เรียกตามลักษณะของมัน คือ มันมีตีนเดียวไปไหนก็เขย่งเกงกอยไป บางท่านก็ว่าผีกองกอยนั้น นอกจากมีเท้าข้างเดียวแล้ว ยังเท้าปุกอีกด้วย ตามนิทานภาษาลาวเรื่องผีกองกอย เขาว่าผีพวกนี้มีเท้ากลับ ไทยทางภาคพายัพเรียก ผีกองกอยว่าผีตองเหลือง ผีกองกอยของลาวนั้น มีเล่าอยู่สองเรื่อง...



ผีกองกอย
     เรื่องหนึ่งเล่าว่า มีชายคนหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านเชิงเขา มีอาชีพในทางจับปลาในแม่น้ำเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ กับหมู่บ้าน เช้าวันหนึ่ง เมื่อเขาไปตรวจดูข่ายดักปลา ปรากฎว่าไม่มีปลาติดเลยสักตัวเดียว และเมื่อเขากลับบ้านในตอนเย็น เขาก็ยังไม่ได้ปลาอยู่เช่นเดิม ในวันรุ่งขึ้นก็เช่นกันอีก เขาไม่ได้ปลาสักตัว ทั้งนี้ทำให้เขาฉงนสนเท่ห์ใจมาก เขาได้ตรวจดูตามพื้นทรายในบริเวณนั้น อย่างละเอียด ก็พบรอยเท้าเล็กๆ ขนาดเท้าเด็กย่ำไปมา เขาเดินตามรอยเท้านั้นไป 

     จนกระทั่งถึงถ้ำแห่งหนึ่ง เขาเดินไปในถ้ำก็พบหญิงร่างเล็กผมสีแดง เท้ากลับไปอยู่ข้างหลังผิดกับคนทั่วไป เขาแน่ใจว่าหญิงคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดาแน่ แต่เป็นผีกองกอย เขาจึงขอร้องไม่ให้หล่อนกินเขา ผีกองกอยจึงให้เขาสัญญาว่า เขาจะต้องเชื่อฟังหล่อน และเป็นสามีของหล่อน ถ้าเขายอมทำตาม ทรัพย์สมบัติต่างๆ ก็จะเป็นของเขา หน้าที่ที่จะต้องทำก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่เฝ้าถ้ำในระหว่างที่หล่อนออกไปหากินข้างนอก เขายอมตอบตกลงตามคำของหล่อน เพราะเขาคิดว่า อย่างไรเสีย เขาก็คงหาโอกาสหนีไปได้ เขาอยู่กับผีกองกอยเป็นเวลาหลายวัน จนสังเกตได้ว่า ผีกองกอยมักพูดตรงข้ามกับความจริงเสมอ เช่น ถ้าหล่อนบอกว่า จะไปนาน หล่อนก็จะหลับมาเร็ว และเมื่อบอกว่าจะกลับมาเร็ว ก็หมายความว่าจะไปนาน 




     เย็นวันหนึ่ง ผีกองกอยออกจากถ้ำและบอกเขาว่า จะออกไปข้างนอกซักครู่หนึ่งประเดี๋ยวก็กลับ เขาก็คิดว่าจะต้องออกไปนานแน่ จึงคิดหนี ได้เก็บทองใส่ถุงหนีออกจากถ้ำไป หลังจากที่ชายหนุ้มหนีไปไม่นานนัก ผีกองกอยก็กลับมาและเมื่อเห็นว่าถ้ำว่างเปล่า ก็รีบติดตามชายหนุ่มไปทันที สักครู่หนึ่งก็ตามทัน เขาจึงแกล้งทำล้มลง เอาศรีษะซุกเข้าไปในโพลงดิน เมื่อผีกองกอยตามมาถึงก็ร้องบอกให้เขากลับ แต่ชายหนุ่มไม่ยอมขยับเขยื้อนเลย

     ในที่สุดผีกองกอยก็เปลี่ยนท่าทีใหม่ พูดกับเขาอย่างอ่อนหวาน และสัญญากับเขาต่างๆ นานา แต่เขาก็ยังคงนิ่งเฉยอยู่ ผีกองกอยจึงเอามือจี้ไปที่ร่างของเขา ชายหนุ่งก็ทำตัวแข็งไม่ยอมกระดุกกระดิกตัวเช่นเดิม ขณะนั้นผีกองกอยได้กลิ่นตุๆ ลอย ขึ้นมาจากร่างของชายหนุ่ม ผีกองกอยได้กลิ่นก็คิดว่าตายแล้ว นางมีความเสียใจมากร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่เป็นเวลานาน แล้วจึงจัดการฝังศพของชายหนุ่ม เอาถุงทองวางไว้ข้างๆ ตัวด้วย เสร็จแล้วก็กลับไป ชายหนุ่มทนอึดอัดอยู่จนถึงเวลาค่ำ จึงได้ลุกขึ้นเดินกลับบ้านไป เขาได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครต่อใครฟังหลายคน และมีอยู่คนหนึ่งเป็นคนขี้อิจฉา คิดจะทำอย่างเขาบ้าง เขาได้ทำตามชายหนุ่มคนแรกทุกอย่าง เริ่มด้วยการเอาข่ายไปดักปลา แล้วได้เดินตามรอยเท้าไปจนถึงถ้ำผีกองกอย และได้เป็นผัวนางกองกอย มีหน้าที่เฝ้าสมบัติ ต่อมาได้ขนเงินทองหนีออกจากถ้ำ แต่ไม่นานนักผีกองกอยก็ไล่ตาม และโดยที่เขาเป็นคนโลภขนเงินขนทอง มาหลายถุงจึงทำให้หนักวิ่งไม่สะดวก เมื่อเห็นผีกองกอยวิ่งไล่กระชั้นชิดเข้ามาก็จำเป็นต้องโยนทิ้งเสียบ้าง เมื่อวิ่งไปถึงไร่ มันก็ทรุดตัวลงแล้วเอาศีรษะซุกเข้าไปในหลุม แกล้งทำเป็นหมดความรู้สึกเช่นเดียวกับที่คนแรกได้เคยทำมาแล้ว ผีกองกอยเข้ามาถึงก็พูดเช่นเดียวกันกับที่เคยพูดกับชายคนแรก และเมื่อเห็นเขาไม่เคลื่อนไหว ผีกองกอยก็เอานิ้วจี้ ชายคนนี้เป็นคนบ้าจี้ 
พอถูกจี้เข้าก็หัวเราะออกมา ผีกองกอยก็พลอยหัวเราะไปด้วย และได้ร้องออกมาว่า "กองกอย กองกอย" แล้วก็กินตับไตไส้พุงของชายโลภคนนี้จนหมด


ผีกองกอย

     นิทานลาวเรื่องนี้ได้ความรู้เรื่องผีกองกอยว่าร้อง "กองกอย" มีเท้ากลับกินของคาวสด มีทรัพย์สมบัติมาก รูปร่างคล้ายคนแต่ตัวเล็ก มีนิทานลาวเรื่องผีกองกอยอีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า...มีชายคนหนึ่ง ไปดักปลาแต่ไม่เคยได้ปลาเลยจึงตรวจดูตามบริเวณนั้น ก็พบร้อยเท้าเล็กๆ ขนาดไม่เกินสามนิ้ว (แสดงว่า เท้าปุก) เขาก็แน่ใจว่าจะต้องเป็นผู้ที่มาขโมยปลาไป 
ได้แอบเฝ้าดูอยู่เกือบสว่าง จึงได้ยินเสียงคนเดินมาค่อยๆ เขาได้เห็นผีกองกอยมายืนอยู่ริมตลิ่ง เป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ผมยาวเหมือนแม่มด ผีกองกอยไม่ได้นุ่งผ้า ตัวเปล่าเปลือย เมื่อเขาเห็นผีกองกอยจะเข้าไปลักปลา เขาก็วิ่งเข้าไปจับแต่ก็จับไม่อยู่เพราะผีกองกอยมีแรงมากกว่า ในที่สุดเขาเองกลับถูกจับไปและถูกบังคับให้เป็นผัว ทุกครั้งที่ผีกองกอยออกไปหากิน มันจะเอาหินขนาดใหญ่มีน้ำหนักหลายตันปิดปากถ้ำไว้อย่างหนาแน่น ชายหนุ่มอยู่ กับผีกองกอยปีหนึ่งก็มีลูกด้วยกันคนหนึ่ง ชายหนุ่มมีหน้าที่คอยเลี้ยงลูกในตอนที่ผีกองกอยไม่อยู่ เขาต้องทนอยู่เป็นเช่นนี้ เป็นเวลาถึงสามปีและแล้ววันหนึ่ง ลูกชายของเขาก็พยายามผลักหินปิดปากถ้ำนั้นออกได้ ซึ่งผู้เป็นพ่อเองกลับผลักไม่ไหว ทั้งนี้ก็เป็นเพราะลูกได้รับกำลัง และอำนาจมาจากผีกองกอยนั่นเอง ชายหนุ่มไม่รอช้า เขารีบวิ่งหนีออกจากถ้ำทันที เมื่อผีกองกอย ตามทัน เขาก็แกล้งทำเป็นตาย อย่างชายหนุ่มในเรื่องแรก ผีกองกอยก็เอามือจี้สีข้าง แต่เขาทนได้และได้ปล่อยลมเสียออกมา ผีกองกอยได้กลิ่นตุๆ ก็นึกว่าตายจริง ก็เอาฆ้องใบหนึ่งวางไว้ข้างๆ ตัวแล้วพูดว่า "ถ้าเธอต้องการอะไร ก็ให้ตีฆ้องนี้ขึ้น" พอผีกองกอยไปแล้ว ชายหนุ่มก็กลับไปบ้าน เมื่อเขาต้องการเงินทองก็ตีฆ้องขึ้นก็ได้ดังปรารถนา

     จากนิทานเรื่องที่สองนี้ ได้ความเพิ่มเติมขึ้นอีกอย่างหนึ่งว่า ผีกองกอยเปลีอยกายไม่นุ่งผ้า และมีลูกกับคนได้.. เรื่องผีกองกอย ในสมัยก่อนเชื่อกันมาก มักพูดคุยเล่าสู่กันฟังเสมอ พระยาราชเสนาได้เล่าว่า เมื่อ พ.ศ ๒๔๖๐ ได้ไปตรวจ ป่าเร่วและต้นอบเชยที่จังหวัดชัยภูมิ ได้ไปพักแรมที่ภูเขาเขียว คืนหนึ่งเวลาราว ๒๑ นาฬิกา หลับกันหมดแล้ว คงเหลือ แต่พระยาราชเสนากับนายด้วงปลัดอำเภอยังนอนคุยกันอยู่ และราษฎรที่สมัครไปด้วยอีกคนหนึ่งอายุกลางคน ชื่อ ตาโข้ ประพฤติตนเป็นผู้ใหญ่ยังไม่นอน แกนั่งจักไม้สานตะกร้าสำหรับใส่ของป่าที่จะหาได้ และคอยซนไฟที่ก่อไว้มิให้ดับ พระยาราชเสนากับนายด้วงได้ยินเสียงอะไรดัง จ๊อก จ๊อก ระยะห่างๆ เสียงนั้นเหมือนเสียงคนจุ๊ปาก หรือเสียงจิ้งจก แต่ดังกว่ามากแล้วเสียงใกล้เข้ามา และมีเสียงใบไม้ดังสวบตามเสียง "จ๊อก" ด้วยทุกจังหวะ คือดัง "จ๊อกสวบจ๊อกสวบ" เป็นคู่กันดังนี้เรื่อยมา เหมือนหนึ่งตัวที่ร้องนั้นกระโดดบนกิ่งใบไม้ตามเสียงที่ร้องนั้นทุกครั้ง  พระยาราชเสนาถามนายด้วง นายด้วงบอกว่าไม่รู้จัก เพิ่งได้ยินเสียงเดี๋ยวนี้เอง พระยาราชเสนาก็เตรียมปืนพร้อม นายด้วงก็ตามคอยดูว่า เมื่อเห็นตัวถนัดก็จะลั่นไกให้ได้ตัวมาดูให้รู้ว่ามันเป็นตัวอะไรแน่ จนกระทั่ง เสียงนั้นเข้ามาถึงต้นไม้ในบริเวณที่พวกพระยาราชเสนาพัก พอสังเกตเสียงได้ว่าอยู่ที่ต้นใด มีแสงไฟมากองอยู่เรืองๆ พอเห็นต้นไม้ได้ถนัด แต่เจ้าของเสียงมันอยู่บนต้นไม้ มืดแลไม่เห็นตัวมัน ใจพระยาราชเสนาผู้หันปากกระบอกปืนไปทางต้นนั้นแล้วรู้สึกกระหยิ่มว่า ถ้ามันลงมาต่ำๆ คงได้เห็นอะไรแปลกๆ เป็นแน่ แต่ผิดหวังเพราะตาโข้อุตริออกเสียงเรียกชื่อคนขึ้น 

     แล้วเจ้าเสียงประหลาดก็ดัง "จ๊อก" บนต้นไม้ที่เราปองนั้นอีกครั้งเดียว และมีเสียงเหมือนลมพัดแรงๆ ลู่ใบไม้ต้นนั้นและต้นถัดไป ดังซู่เป็นเสียงยาว ประมาณ ๕ วินาที แล้วก็เงียบเลย พระยาราชเสนาเข้าใจว่ามันไปเสียแล้วจึงถามตาโข้ว่า แกเรียกใคร ตาโข้บอกว่าเรียกชื่ออ้ายอะไรจำไม่ได้ ซึ่งตายไปนาน ไม่ทราบว่ากี่สิบปีแล้ว ว่าเป็นชื่อที่ผีชนิดนี้กลัวมาก แกจึงออกชื่อให้อ้ายตัวที่แกว่าผีนั้นได้ยินเพื่อให้หนีไปเสีย พระยาราชเสนารีบถามตาโข้ อีกว่าผีอะไร ที่ไหน แกจึงบอกว่า อ้ายที่มันร้องจ๊อก จ๊อก นั่นแหละ ผีกองกอย มีตีนเดียว ใครพบรอยที่ไหนก็รอยตีนข้างเดียว เหมือนกันทุกแห่ง รอยตีนมันเท่ารอยเท้าเด็กเล็กๆ และผีอย่างนี้มันแปลงตัวให้เล็กเท่าลูกลิงก็ได้ เมื่อมันเห็นคนเดินทาง ในดงนอนหลับแล้ว มันลงมาหา
ของกิน ถ้าไม่ได้กินเลือดคนเพราะเขายังไม่ถึงที่ตาย มันก็ขโมยเขียดหรืออึ่ง (อึ่งยาง) ที่เขาจับใส่หม้อขังไว้เป็นอาหารดังกล่าว ทั้งนี้คนที่ไปด้วยหลายคนรับรองคำตาโข้ว่า ได้เคยเห็นรอยเท้ามันและเคยถูกขโมยเขียด ตกลงในครั้งนั้น พระยาราชเสนา ก็ไม่ได้เห็นผีกองกอยตัวจริงเลย !

ที่มา: หนุ่มขอนแจ่น Khonkaentoday

Friday, August 17, 2012

ผจญภัยกับงูเหลือมยักษ์

ประสบการณ์
จากธุดงค์วัตร

ผจญภัยกับงูเหลือมยักษ์

     ขณะที่หลวงปู่สุภาธุดงค์อยู่ตามถ้ำต่างๆ ในป่าแถบภาคอีสานของประเทศไทย ท่านได้ประสบพบอุปสรรคต่างๆ แทบจะเอาตัวไม่รอดหลายครั้ง แต่ด้วยศีลบารบีและการปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดของท่าน ภยันตรายต่างๆ ในเถื่อนถ้ำเขาลำเนาไพรก็ปลาสนาการไปได้


ภาพประกอบจากหนังสือ
ฉลองอายุ 100 ปี หลวงปู่สุภา
     ดังเช่น ครั้งหนึ่งขณะที่ท่านธุดงค์อยู่ในถ้ำ ท่านเล่าว่าถ้ำแห่งนั้นสะอาดสะอ้านเกลี้ยงเกลาราวกับมีคนหรือเทวดาหรือเทพยดามาทำความสะอาดไว้ ขณะที่ท่านนั่งภาวนาอยู่ในกลดได้มีงูเหลือมยักษ์ตัวหนึ่ง โตขนาดเท่าต้นมะพร้าวได้กลืนท่านเข้าไปจนกระทั่งถึงโคนขา ท่านเล่าว่า ก่อนที่จะรอดกลับมาเป็นคนได้ต่อไปในครั้งนั้น เป็นเพราะท่านตั้งสัจจาอธิษฐานจิตมั่นไม่เคลื่อนไหวหรือ กระดุกกระดิก นั่งเพ่งเจ้างูเหลือมยักษ์และสื่อสารทางจิตว่า


      "เจ้าจะกินข้าจริงๆ หรือ ข้าอนุญาติให้เจ้ากินข้าได้ เพราะข้าสละหมดแล้ว ชีวิตร่างกายอะไรต่ออะไร ไม่มีแล้ว ที่ข้าปรารถนาทุกวันนี้ คือ นิพพาน ถ้าว่าเจ้าจะกินข้าจริงๆ ก็ได้แต่มีข้อแม้ว่า ถ้าเจ้ากินข้าแล้วข้าต้องไปนิพพานนะ ถ้าข้าไปนิพพานไม่ได้เจ้าจะกินข้าเปล่าๆ ให้เจ้าถอยออกไป"


ภาพประกอบจากหนังสือ ฉลองอายุ 100 ปี หลวงปู่สุภา

     พอหลวงปู่พูดเสร็จ ท่านก็เร่งแผ่เมตตาจิต เจ้างูเหลือมยักษ์ก็ค่อยๆ คายร่างท่านออก แต่ท่านก็ยังคงนั่งแผ่เมตตาต่อไป จนกระทั่งดึกสงัดประมาณตีหนึ่ง ท่านได้ยินเสียงไม้ต้นใหญ่หักดังสนั่นหวั่นไหว ท่านนึกว่างูเหลือมยักษ์คงจะกลับจะกินท่านอีก ท่านจึงนั่งแผ่เมตตาตลอดเวลา และนึกว่าถ้างูเหลือมยักษ์จะกินท่าน ท่านก็จะยอมให้มันกิน  นั่งภาวนาจนสว่างก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  พอได้เวลารุ่งอรุณ 6 โมงเช้า ท่านก็เก็บกลดเสร็จเรียบร้อย  ออกไปบิณฑบาตแล้วกลับมาฉัน พอฉันเสร็จก็เดินลงไปดูว่าเสียงที่ดังสนั่นเมื่อตอนดึกคืนนั้นเป็นเสียงอะไร  เมื่อท่านไปถึงก็เห็นเจ้างูเหลือมที่จะกลืนท่านได้ตายเสียแล้ว  แต่ท่านไม่ได้บอกให้ทราบว่าเจ้างูเหลือมยักษ์ตัวนั้นตายด้วยสาเหตุใด

     จากประสบการณ์นี้ หลวงปู่กล่าวว่า "การธุดงค์ขึ้นอยู่กับจิตของเรา ถ้าจิตวอกแว่กและกลัวเกินไปก็ตาย  พระธุดงค์ทั้งหลายเวลาไปธุดงค์พบอะไรต่างๆ แล้วเกิดความกลัวและตัดไม่ขาด จึงมักยังกลัวตายอยู่"



เครดิตเนื้อหา: หนังสือฉลองอายุ 100 ปี หลวงปู่สุภา กันตสีโล