Sunday, August 19, 2012

เล่าเรื่องผีกงกอย

ประสบการณ์
จากธุดงค์วัตร

เล่าเรื่องผีกงกอย

     เมื่อครั้งที่หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล อยู่ปฏิบัติศึกษาวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงปู่สีทัตต์ ที่ถ้ำภูเขาควาย ประเทศลาว เข้าปีที่ห้า หลวงปู่สีทัตต์ได้ให้ท่านออกธุดงค์ ระยะแรกให้มีเพื่อนไปด้วย 2-3 รูป ชื่อพระสิม หลวงพ่อสังข์และสามเณรพร รวมเป็น 4 รูป 

     เริ่มออกธุดงค์จากถ้ำภูเขาควายขึ้นไปทางผาต๊อหน่อคำ อำเภอเซโปน จังหวัดเซโปน แขวงคำม่วน ประเทศลาว เป็นที่ๆ หลวงปู่สีทัตต์สั่งให้ท่านไปเพื่อทดสอบสมาธิและอุปนิสัย เมื่อเดินธุดงค์ไปถึงผาต๊อหน่อคำ (ทองคำ)  ชาวบ้านเล่าว่าพวกฝรั่งเศสเอาปืนยิงหน่อคำ (ทองคำ) เป็นยอดแหลมลงมาสัง 4-5 วา  ให้หลุดลงมา  แต่พวกฝรั่งเศสทำไม่สำเร็จเพราะโดนผีกงกอยกินตับหมด  จึงไม่มีใครสามารถเอาหน่อคำ (ทองคำ) ไปได้
     ที่ผาต๊อหน่อคำ มีผีกงกอยปกปักรักษาอยู่  เมื่อหลวงปู่สุภาและคณะธุดงค์มาถึงได้ปักกลดเรียงๆกัน ท่านจำได้ถึงคำสั่งของหลวงปู่สีทัตต์ให้ระวังว่า แม้ว่าเราจะมีศีล  แม้ว่าเราจะมีธรรม  ควรเคารพเจ้าป่าเจ้าเขา  ท่านเตือนไว้ว่า  ในถิ่นนั้นมีผีกงกอยอยู่ชุกชุม  หากหลวงพ่อสังข์ลืมคำสั่งสอนของหลวงปู่สีทัตต์ที่ว่า  หนึ่ง  ไม่ให้ตากผ้าทับพุ่มไม้ต่างๆ  สอง  ถ้าไปเอาฟืนต้มน้ำอย่าลากมา ให้แบกหรือหอบมา ถ้าขืนลากมาเมื่อถูกผีป่า  เราจะป้องกันไม่ได้เพราะเราทำผิด  ไม่ว่าพระ  ไม่ว่าใครๆทั้งหมด ย่อมทำผิดได้  เมื่อทำผิดแล้วอะไรเกิด ไม่มีใครแก้ไขได้  หลวงพ่อสังข์เกิดลืมนำมีดติดตัวไป จึงต้องลากไม้มา ทำให้หลวงพ่อสังข์ต้องมรณะภาพที่นั่นเอง


ภาพประกอบจากหนังสือ
๑๐๐ ปี หลวงปู่สุภา กันตสีโล
     พอตกกลางคืนตอนดึก ก็ได้ยินเสียงร้องของผีกงกอย ร้องว่า "กงก้อย กงก้อย ๆ" อย่างนี้ ถ้าเราทำผิดไปลากฟืนมา มันจะออกมาแล้วร้อง "ก่งก้อย กงก้อย กั๊ก" ไม่คนใดคนก็คนหนึ่งจะต้องมีอันเป็นไป ครั้นตกดึกมากๆ จะมีเสียงร้องคราง "อุ๊ย" เดียวเท่านั้น พอไปเปิดดู มีพดไม้ปิดทวาร เจ้าผีกงกอยล้วงตับไปกิน เมื่อหลวงพ่อสังข์มรณะภาพ พระสิม สามเณรพร ได้ลงมาหาชาวบ้านให้ช่วยหามศพ หลวงพ่อสังข์ ไปเผา
    สามเณรพร พระสิม เกิดความกลัวมาก จึงลาหลวงปู่สุภา กลับไปยังถ้ำภูเขาควาย เมื่อหลวงปู่สีทัตต์ถามว่า "ทำไม ไม่กลับพร้อมกันหมด กับหลวงปู่สุภา?" ก็ได้ตอบหลวงปู่สีทัตต์ว่า "หลวงพ่อสังข์ตายแล้ว" หลวงปู่สีทัตต์ถามว่า "ทำไมถึงตาย" ได้คำตอบว่า "หลวงพ่อสังข์ไปลากฟืน จึงถูกผีกงกอย จกตับไปกิน"  หลวงปู่สีทัตต์ถามต่อไปว่า "ทำไมปล่อยให้ลูกสุภาอยู่องค์เดียว"  ทั้งสองตอบหลวงปู่สีทัตต์ว่า "หลวงพ่อสุภา ท่านไม่กลับ ท่านมุ่งจะธุดงค์ต่อไปตามลำพัง" หลวงปู่สีท้ตต์จึงให้ญาติโยมไปตาม 

     ขณะนั้นหลวงปู่สุภาอายุ ๓๓ ปี บวชมาได้ ๑๓ พรรษา ญาติโยมไปตามบอกว่า หลวงปู่สีทัตต์ให้มารับกลับ แต่ท่านไม่ยอมกลับเนื่องจาก ได้นั่งพินิจพิจารณาว่า "เอ เราก็ได้ตั้งสัจจะอธิษฐานแล้วว่า จะออกธุดงค์สัก ๒ เดือน ไว้เมื่อครบ ๒ เดือนแล้วจึงจะกลับ"  ตกลงหลวงปู่สุภาก็ไม่กลับ ญาติโยมก็เลยกลับไปที่ถ้ำภูเขาควาย กราบเรียนหลวงปู่สีทัตต์ หลวงปู่สุภาจึงเดินธุดงค์ต่อไปองค์เดียว และได้เดินย้อนกลับลงมาหลงป่าอยู่นานถึง ๑๕ วัน ไม่ได้ฉันจังหันเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งได้พบช้างพลาย มานำทาง มาส่งที่ชายป่า (จะเล่าในตอนพบ เจ้าช้างพลายน้อย)



     หลวงปู่สุภา เล่าให้ฟังต่อไปว่า หน่อคำ คือทองคำที่ผาต๊อ เป็นทองคำแท่งย้อย ลงมาจากหน้าผาของเขาลูกนั้นงอกขึ้นตามธรรมชาติ จึงเรียกว่า ผาต๊อหน่อคำ หมายถึง ทองคำงอกย้อยออกมาบนภูเขาเป็นหน่อๆ ที่ชันเป็นหน้าผาชะโงกออกไป ข้างบนหน้าผาเต็มไปด้วยหน่อคำ แต่ไม่มีใครขึ้นไปถึง

    มีลูกศิษย์กราบเรียนถามท่านว่า ลูกร่างผีกงกอยเป็นอย่างไร ท่านอธิบายว่า ผีกงกอย มีรูปร่างสูงแค่คืบ เป็นเพศหญิงไม่มีเพศชาย แต่มีพละกำลังมากมาย ใครอยากเห็นผีกงกอย ให้เดินด้วยส้นเท้า แต่ถ้าใครไม่อยากพบผี ให้เดินเขย่งปลายเท้า ปกติผีกงกอย จะอาศัยอยู่ตามภูเขา ที่มีน้ำซับไหลลงมา ผีพวกนี้กินปูหอยเป็นอาหาร ตาเนื้อของคนเราสามารถมองเห็นผีกงกอยได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ตาทิพย์ เวลาที่ผีกงกอยจะจกตับไปกิน เราจะมองไม่เห็นตัวมัน แต่ได้ยินเสียง ถ้าเมื่อไรได้ยินมันร้อง "กงก้อย กงก้อย กั๊ก กงก้อย กั๊ก" แสดงว่ามันจกตับไปกินเรียบร้อยแล้ว ผีจำพวกนี้ไม่กินอย่างอื่น นอกจากจะกินเฉพาะตับเท่านั้น คนทางภาคอีสาน จึงมักจะใช้เรื่องของผีกงกอย มาขู่เด็กๆทุกวันนี้  ท่านเล่าว่า ผีกงกอย ก็ยังมีอยู่ แม้กระทั่งหน่อคำบนหน้าผานั้น ก็ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ เพราะไม่มีใครที่จะสามารถขึ้นไปเอาหน่อคำนั้นลงมาได้


ภาพประกอบจากหนังสือ ๑๐๐ ปี หลวงปู่สุภา



ที่มา: หนังสือฉลองครบรอบอายุ ๑๐๐ ปี หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล

No comments:

Post a Comment