Monday, July 16, 2012

ปู่สอนหลาน (ตอนแรก)


     ผมได้ขอนำบทความที่แม่ชี ณัฐทิพย์ ตนุพันธ์ ได้เขียนถึงหลวงปู่สุภา โดยผลงานจะเป็นลักษณะที่แม่ชีได้เรียนรู้จากการสนทนากับหลวงปู่   บทความนี้ได้ตีพิมพ์ไว้ในหนังสือ อัตตะประวัติ ๑๐๖ ปี หลวงปู่สุภา กันตะสีโล ของ นาย แสน วิชาชาญ


ปู่สอนหลาน
โดย...แม่ชี ณัฐทิพย์ ตนุพันธ์

เสียงระฆังดัง “เง่งหง่างๆ” มาแต่ไกล ปลุกให้ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายมี พระ, ชี, อุบาสก, อุบาสิกา ต่างทยอยกันทำกิจส่วนตัว สลัดความง่วงเหงาหาวนอน มาพร้อมกันในศาลาปฏิบัติธรรม สวดมนต์ไหว้พระเจริญภาวนา เมื่อทำกิจทางสงฆ์เสร็จต่างก็สะพายบาตรเดินบิณฑบาต โปรดญาติโยมไปตามทางลาดยาง ตามถนน ตามบ้าน
ชาวบ้านต่างกุลีกุจอใส่บาตรกันเป็นกิจวัตรทุกวัน ถ้าวันไหนไม่อยู่ชาวบ้านจะบอกทันที “พรุ่งนี้จะหยุดใส่บาตรสัก ๓ - ๔ วันนะ จะไปธุระต่างจังหวัด” นี่แหละน้ำใจและความศรัทธาญาติโยมที่มีให้กับผู้ที่บวชอยู่ในบวรศาสนา บรรพชิตทั้งหลายควรที่จะสำนึกในความเป็นบรรพชิต เป็นนักบวช เป็นลูกหลานของพระพุทธองค์ เป็นตัวแทนที่ดีงาม ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติบูชา พระพุทธคุณ, พระธรรมคุณ, พระสังฆคุณ มีคุณธรรมประจำกายและมีธรรมะประจำใจ เป็นตัวอย่างที่ดีแก่บรรพชิตรุ่นหลัง ช่วยพยุงเกื้อหนุนศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปตราบนานเท่านาน
ข้าพเจ้าก็เป็นผู้หนึ่งที่เลื่อมใสในความเป็น “พุทธ” เลื่อมใสในการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ของพระพุทธองค์และเหล่าสาวกทั้งหลายจึงต้องเข้ามาอยู่ในใต้ร่มโพธิ์ ร่มไทรแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม” เมื่อรับบิณฑบาตจนพอควรแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินกลับสำนักพร้อมด้วยเพื่อนสหธรรมิก มองเห็นเจดีย์ทองเหลืองอร่ามแต่ไกล เห็นเงาตะคุ่มๆ เดินโยกไป โย้มาคล้ายจะเซล้ม อ๋อ...พระแก่ๆ นั่นเองอายุคงจะราวๆ ๘๐ กว่าๆได้ ใครจะเชื่อว่าท่านจะอายุสูงขนาดนั้น “๑๐๖ ปี” โอ้โฮ...ยังแข็งแรงทั้งความคิด จดจำแม่นยำกว่าพวกเราที่ยังหนุ่มยังสาวอีก
ข้าพเจ้ารีบเดินกลับกุฏิ จัดการกับอาหารในบาตรเสร็จเรียบร้อย ตั้งใจจะมากราบนมัสการแก่พระรูปนั้น

“ อยากรู้ล่ะซิ ว่าพระแก่รูปนั้นคือใคร ? “

“ หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล”  อ๋อ.....

ท่านยิ้มพร้อมกับโชว์ฟันและปากที่แดง พร้อมกับหมากที่ตำและอัดเป็นคำๆ เข้าปาก
“ ยาหรือ ?" ท่านเอ่ยถาม

“ ค่ะ"  ข้าพเจ้าตอบพลางขยับเข้าไปใกล้

“ มีอะไร ?"  หลวงปู่ถาม

“ หลวงปู่คะ ญาติโยมฝากคำถามต่างๆ ให้หนูช่วยเรียนถามหลวงปู่ค่ะ ?”

ท่านหันมามอง "ถามอะไร ?"

“ มีหลายคำถามค่ะ ?” ข้าพเจ้าตอบ

“ อ้าว!... เธอก็ตอบแทนปู่สิ ?"  ท่านทำเสียงขึงขัง

“ ความรู้ ความสามารถ และอานิสงส์ของหนูยังด้อยค่ะ หลวงปู่ตอบดีกว่า หลวงปู่คะ การทำบุญใส่บาตร ถวายของให้พระกับชีจะได้บุญและอานิสงส์ต่างกันไหมคะ ?" 

“ เธอว่าเท่ากันไหมล่ะ ?”  ท่านย้อนถามและพูดต่อ

“ นี่ล่ะนะ ..... หลานเอ้ย ..... การทำบุญเขาไม่ให้เลือกพระ แต่ถ้าพระที่เราทำบุญไปแล้ว ไม่มีการเจริญภาวนา ไม่มีการทำกิจของสงฆ์ บวชมากินกับนอน “ ได้บุญ”  แต่ได้ครึ่งเดียวต่างกับพระ ชี ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีการเจริญภาวนา แผ่เมตตาอยู่เป็นนิตย์ อานิสงฆ์ย่อมได้ต่างกัน”

“ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรคะ ?”

“ อ้าว .... ก็ดูเอาแหละ”

“ ชีปฏิบัติธรรม สามารถบรรลุเป็นอรหันต์ได้ไหมคะ ?” ข้าพเจ้าถามท่านต่อ

“ ทำไมจะไม่ได้ ดูอย่างพระเจ้าพิมพิสารสิ ไม่ได้บวชเป็นพระ ยังปฏิบัติเป็นอรหันต์ได้เลย พระที่บวชมา กินกับนอน ไม่ปฏิบัติอะไรเลย เล่นแต่คอมพิวเตอร์นั่นแหละลงนรกหมด” พูดจบท่านก็หัวเราะ


" หลวงปู่คะ พระบางรูปบอกว่า "ชี" ไม่ใช่นักบวช นักบวชจะต้องถือศีล ๑๐ ขึ้นไป?"


"ต่างคนก็ต่างพูดไปตามความคิดเห็นของตัวเอง รู้จริงบ้างไม่จริงบ้างล่ะ ลูกหลานเอ้ย...."


"นรก, สวรรค์ มีจริงมั๊ยคะ ?"


"เธอว่ามีมั๊ยล่ะ ?" ท่านย้อนถามข้าพเจ้า


" ถ้าถามหนู หนูว่ามีจริง แต่บางคนบอกว่าไม่มี ชาติหน้ายังไม่รู้ว่าจะมีจริงหรือเปล่า!  อย่างนี้เขาเรียกว่า "ประมาท" เอาง่ายๆ ถ้าเราทำความดี จิตใจเราก็เบิกบาน สบายใจสบายกาย นี่แหละ "สวรรค์ในอก" ถ้าทำสิ่งชั่วสิ่งเลว มันก็หาความสุขไม่ได้ มีแต่หวาดระแวง นี่ไง "นรกในใจ"  ตายทั้งเป็นทั้งที่ยังไม่ตายเลย จริงมั๊ยคะ ?" ข้าพเจ้าถามหลวงปู่


ท่านพยักหน้ารับ


"การทำบุญเนี่ย บางคนชอบทำบุญ แต่พอทำไปด่าไป ตำหนิไป จะได้บุญไหมคะ ?"


"ก็สิ่งที่เค้าด่าน่ะ จริงมั๊ยล่ะ ถ้าจริงมันก็ถูกของเขา แต่ถ้าไม่จริง เค้าก็ลงนรกเองแหละ"


"หลวงปู่ ... คนตายไปแล้ว ญาติโยมทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้นั้น เค้าจะได้รับหรือเปล่าคะ ?"


" คนส่งถึง คนรับถึง มันก็ถึงว่ะ"


" บางคนบวชไม่ได้ แก้เคล็ดโดยการเป็นโยมอุปถัมภ์พระหรือชีที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ จะได้อานิสงส์ไหมคะ ?"


"อ้า.... ก็ได้น่ะสิ  และเธอจะรู้ได้ยังไงว่าพระหรือชี รูปไหน ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ? " ท่านย้อนถามข้าพเจ้า


" ตามความเห็นของหนูนะ.... หนูจะไม่ดูพระที่บุคลิกภายนอกเพราะพระบางรูป เสแสร้งเก่ง เวลาอยู่กับญาติโยม วางตัวดูแล้วน่าเลื่อมใส ทำท่าทางนิ่มนวล พูดจาไพเราะ โดยเฉพาะกับสีกาสาวๆ ทำเหมือนว่าปฏิบัติเคร่ง แต่พอลับหลังเป็นคนละคนเลย ญาติโยมไม่เห็นไม่รู้ นั่นก็ต้องเป็นกรรมของคุณโยมที่เจอพระแบบนั้น เหมือนกับส่งเสริมในสิ่งที่พระทำไม่ดีให้เจริญงอกงามออกนอกลู่นอกทางของการเป็นบรรพชิต เป็นศิษย์เป็นลูกหลานของพระพุทธองค์แต่เพียงกาย บวชมาเพื่อแสวงหาชื่อเสียง ลาภสักการะ หาช่องทางทำมาหากินโดยอาศัยจีวรพระมาห่มกาย ออกเรี่ยไรญาติโยมพุทธบริษัทให้ศรัทธา บวชมาศึกษาแบบฆราวาสเขาทำกัน อย่างนี้ถือว่าผิดพระธรรมวินัยมั้ยคะ ?" ข้าพเจ้าถาม


" อันนี้นะ .... ผิดวินัยสงฆ์ แต่ไม่บาป เพราะไม่ได้ทำร้ายใคร หรือทำให้ใครเดือดร้อน"


"หลวงปู่คะ.... ทำไมพวกที่นั่งสมาธิเห็นโน่นเห็นนี่  แต่พอให้ดูสิ่งเดียวกัน  ทำไมจึงดูไม่เหมือนกันคะ ?"


" ถ้าดูจริง  ทำจริง  ได้จริง  มันก็จริง  ทำไม่จริง  ดูไม่จริง  ได้ไม่จริง  มันก็ไม่จริง"


" ยังไงคะ ?"  ข้าพเจ้าย้อนถามหลวงปู่


" อ้าว...  ถ้ามันปฏิบัติจริง  นั่งได้ดวงธรรมจริง  เห็นจริง  มันก็จริงล่ะ  ถ้าไม่ได้ดวงธรรมจริง  มันก็โกหกล่ะซิ"


"แล้วเราจะรู้ได้ยังไงคะ ?"


"อ้าว.... เธอก็นั่งได้นี่  ก็นั่งดูเอาเองวะ.... ถามได้"  หลวงปู่พูดแล้วก็หัวเราะด้วยอารมณ์ดี  นั่งกระดิกเท้าชอบใจใหญ่ สรุปแล้วจริงหรือไม่จริง  ต้องพิสูจน์เอาเอง


" เฮ้อ" .... ข้าพเจ้าถอนใจ


ข้าพเจ้าหยุดถามหลวงปู่ครู่หนึ่ง  ท่านก็นั่งเคี้ยวหมากพร้อมกับเอนหลังพิงกับหมอน  หลับตาเคี้ยวหมากอย่างอร่อย อยู่อย่างนั้น


"เลิกถามแล้วรึ ?" ท่านถามทั้งยังหลับตาอยู่อย่างนั้น


" มีอีกค่ะ"


" ให้หลวงปู่พักผ่อนก่อนค่ะ"



                                                 

                                                                                                                       ติดตามตอนต่อไป

No comments:

Post a Comment