(ต่อจากตอนที่แล้ว)
"ไม่สัมภาษณ์ประวัติอีกเหรอ ? อะไรก็สัมภาษณ์ประวัติ อะไรก็ประวัติ ถามกันอยู่ได้ พูดไปจนไม่รู้สักเท่าไหร่ ปู่ก็เล่าให้พวกเจ้าฟังอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่หรือ ก็เอาไปเขียนกันเองว่ะ ... ถามอยู่ได้ "
"ก็ประวัติหลวงปู่ที่เอาไปเขียนน่ะ บางอย่างก็ยังไม่หมด บางอย่างก็เขียนไม่ได้ เพราะมันพิสดารจนเขียนไม่ได้ เดี๋ยวเขาจะว่าอวดอุตริผิดแผกไปจากพุทธศาสนา ทำให้คนมองไม่ดีอีกล่ะค่ะ ขนาดพวกหนูมองหลวงปู่ ยังไม่เชื่อเลยว่าจะมีอายุยืนยาวตั้ง ๑๐๖ ปีแน่ะ สุขภาพ แข็งแรง ความจำดีทุกอย่าง อย่างนี้ต้องเรียก "พระห้าสมัย" เพราะเกิดตั้งแต่สมัย ร.๕ เชียว พวกหนูตายแล้วเกิดใหม่ หลวงปู่ยังไม่ตายเลย นั้นชาตินี้พวกหนูขอตายก่อนหลวงปู่ หลวงปู่จะได้ส่งพวกหนูขึ้นไปอยู่บนวิมาน อิอิๆๆ" ข้าพเจ้าพูดหยอกหลวงปู่ ท่านหันชำเลืองตามองดูแล้วก็หลับตาอีก
ใครจะเชื่อเรื่องอภินิหารหรืออิทธิฤทธิ์ต่างๆ จะมิได้ ข้าพเจ้าคนนึงล่ะ ถ้าไม่เห็นกับตา ยากที่จะเชื่อ ขนาดเห็นกับตายังไม่ค่อยจะเชื่อเลย แต่พอมาเจอหลวงปู่สุภา กนฺตสีโล ข้าพเจ้าต้องทึ่งในความเป็นจริง อย่าว่าแต่ข้าพเจ้าเลย ญาติโยมทั้งหลายต่างประจักษ์ในสายตาตัวเองมากันแล้ว นักมายากลทั้งหลายต้องชิดซ้ายเลย หลวงปู่เป็นพระที่ถ่อมตนมากๆ ความมีเมตตาจิตแก่ญาติโยมลูกหลานทั้งหลายต่างซาบซึ้งในความเมตตากรุณาของหลวงปู่สุดจะพรรณนาสมกับเป็นเพชรในพระพุทธศาสนาโดยแท้ ข้าพเจ้ามองหน้าท่านและก็คิดไปเรื่อย ท่านขยับตัวลุกขึ้นนั่งตรง
"หนูถามต่อนะหลวงปู่"
"อ้าว... ยังไม่จบเหรอ"
"ค่ะ.... หลวงปู่คะ หมาหอนเพราะมันเห็นผีจริงมั้ยคะ?"
"หมามันหอนก็เรื่องของหมามัน ก็มันอยากหอนนี่หว่า?"
"ชาวประมงที่มีอาชีพจับปลาขาย บาปไหมคะ?"
"อันนั้นมันเป็นอาชีพ ถ้ากลัวบาปก็เอามาถวายพระซิ" พูดพลางหัวเราะ
"ทำบุญอย่างไรจึงจะได้ไปอยู่พรหมโลก?"
"ก็ต้องปฏิบัติธรรม เจริญภาวนา แผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย เทพเทวาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ กลัวตกนรกเหรอ?" หันหน้ามาถามด้วยอารมณ์ดี
"สมัยตอนปู่อยู่ในป่าปฏิบัติกรรมฐาน เพื่อให้พลังจิตแข็งแกร่ง มันก็ไม่สำเร็จสักที โมโหเลยวิ่งขึ้นเขาลูกโน้นทีลูกนั้นที จนเหนื่อยมันก็ไม่ได้ซักที พอดีมีเสียงพูดดังมาว่า "หยุดเถอะ พระคุณเจ้า อย่าทำแบบนั้นเลย" หลวงปู่จึงหันมาปฏิบัติเจริญสมาธิใหม่โดยใช้คำภาวนา ๑๗ คำ คือ
"มะอะอุนะ อะอุนะมะอุ อุอะมะนะ นะอะอุมะ"
๑๗ คำนี่แหละหลานเอ้ย... ทำอยู่ ๖ ปี จึงจะสำเร็จ ทำให้ได้เท่าหลวงปู่ หรือให้เก่งกว่าหลวงปู่ ปู่จะดีใจมากเลย"
"สาธุ" ข้าพเจ้ายกมือสาธุ
"คงอีกหลายชาติแน่เลยคะ บารมีหนูคงไม่ถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ" ข้าพเจ้าพูด
"อ้าว... ไม่ทำจะรู้เหรอ ไม่ฝึกหัดมันจะได้ยังไงนั่นแหละ ทำอย่างปู่ว่านั่นแหละ"
"ค่ะ" ข้าพเจ้ารับคำ
"ยึดให้มั่น ตั้งสัจจะ และปฏิบัติสม่ำเสมอโดยเคร่งครัด กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย สันโดษ ไม่มีเพื่อน"
"ค่ะ"
"ตอนนี้เธอต้องเหนื่อยหน่อย เวลาปฏิบัติน้อย เอาไว้มันเข้ารูปเข้ารอยสักหน่อยก็จะมีเวลาล่ะ"
"คนเราต้องมีสัจจะ ยึดให้มั่น สังขารมันจะเจ็บก็ช่างมัน ใจเราไม่เจ็บ ฮึดสู้ดูสิหลานเอ้ย... อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปวันๆ เหมือนคนไร้ค่า ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ธรรมะของพระพุทธองค์เลิศล้ำเหลือคณาหาที่สุดมิได้"
"หลวงปู่คะ" ข้าพเจ้าเรียกต่อ
"เวลาที่คนมาทำบุญ เผอิญเรามาด้วยแต่ไม่มีของมาถวาย แต่เราร่วมกล่าวถวายของแก่พระสงฆ์ร่วมกับเขา เราได้อานิสงส์มั้ยคะ?"
"ถ้าจิตเราเป็นกุศล มุ่งมั่นของเรา ถึงแม้ว่าจะไม่มีของมา แต่เราได้อนุโมทนาสาธุกับเขา เราก็ได้ในส่วนของการอนุโมทนานั้นด้วย"
"วิญญาณที่สิงสถิตอยู่ตามศาลพระภูมิที่บ้านน่ะ ส่วนมากจะเป็นเจ้าที่ระดับใดคะ?"
"เทวดา"
"และพระบางองค์บอกว่าคนเราเมื่อตายไป จะไปเกิดเลย?"
"มันไม่ทุกคนหรอก คนตายตามอายุขัยต้องไปอยู่ที่ศาลาพันห้องก่อน รอคำพิพากษาตามบุญตามกรรมที่ทำมา บางคนก็ไปเกิดเลย บางคนก็ต้องรับกรรมที่ทำไว้ บางคนก็ไปเสวยสุขอยู่บนวิมานชั้นฟ้าโน่น ใครทำบุญก็ได้บุญ ใครทำบาปก็ได้บาป สิ่งลี้ลับเร้นลับมันมีมากล่ะลูกหลานเอ้ย..."
"บางคนไม่สบายจะตายอยู่แล้ว เมื่อสร้างพระพุทธรูปถวายวัด ทำไมยังไม่ตาย"
"อ้าว... ก็มันยังไม่ถึงที่ตาย แล้วมันจะตายได้ยังไง"
"อ้าว... " ข้าพเจ้าอ้าปากค้างในคำตอบ พูดอย่างนี้ถามไม่ถูกเลย
"คนทำบุญด้วยเงินที่ได้มาโดยชอบธรรม ย่อมได้อานิสงส์มากกว่าผู้ที่ทำบุญด้วยเงินไม่บริสุทธิ์ใช่มั้ยคะ?"
หลวงปู่พยักหน้า
"ผู้ที่นำสัตว์มาปล่อยในวัด บาปมั้ยคะ?"
"บาปสิ เอามาเป็นภาระให้กับพระและชี"
"หลวงปู่คะ ญาติโยมถามว่า การนั่งหลับตาเนี่ย ได้บุญตรงไหนคะ?"
"นั่งหลับตาแบบนั่งหลับ มันก็หลับได้และได้หลับ" หลวงปู่อมยิ้ม
"นั่งหลับตา ทำจิตให้เป็นสมาธิ มีสติ รู้ลมหายใจเข้าออก ทุกขณะ มีสติระลึกอยู่ มีจิตที่สงบ ไม่มีโกรธ ไม่มีเกลียด ไม่มีโลภ ไม่มีโมหะ ไม่มีโทสะ อันนี้แหละจึงจะได้บุญ เขากล่าวว่า 'จิตสงบเพียงแค่ช้างกระดิกหู งูตวัดลิ้น แค่นี้ก็ได้อานิสงส์มหาศาลแล้ว' "
หลวงปู่พูดไปพลางบ้วนน้ำหมากใส่กระโถนไป แล้วหันมาถามข้าพเจ้า
"เข้าใจหรือเปล่า"
"พอเข้าใจค่ะ"
"หลวงปู่คะ กลัวผีทำยังไง?"
"กลัวมันหักคอเหรอ อีกหน่อยเราก็เป็นผีว่ะ!"
"คนจีนมีประเพณีฝังศพ ถ้าขุดศพขึ้นมาเผาและไม่ฝังอีกต่อไป ดีมั้ยคะ?"
"อันนั้นมันเป็นประเพณีของเขา ช่างเค้าเถอะ จะฝังจะเผาก็ตามแต่เค้าล่ะ"
"หลวงปู่คะ แขวนพระไว้ที่คอ เดินลอดราวตากผ้าถุงได้มั้ยคะ?"
"มันอยู่ที่จิตน่ะ พระที่ทำเค้าจะปลุกเสกด้วยพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ไม่เหมือนพวกไสยศาสตร์ อันนั้นเสื่อม"
"การปลุกเสกพระ จำเป็นมั้ยคะว่าจะต้องเป็นพระเสกและต้องทำพิธีโดยพระเสมอไป?" ข้าพเจ้าถามต่อ
"ใครเสกก็ได้ ถ้าคนนั้นมีพลังจิตแข็งแกร่ง มีเมตตา มีศีล ต้องดูว่าเสกแบบไหน ทางค้าขาย ทางเมตตา ทางคงกระพัน ทางแคล้วคลาด อย่างปู่สอนพวกเธอนั่นไง ตั้งธาตุหนุนธาตุ มีการเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเทวาทั้งหลายลงมาช่วยกระทำให้มีความศักดิ์สิทธิ์มีอานุภาพยิ่งขึ้น การเปิดเนตรพระ. นางกวัก ใครทำก็ได้ สวดๆไป มันก็ศักดิ์สิทธิ์เองแหละ เธอก็หัดเอาว่ะ ปู่สอนให้หมดแล้ว จะทำอะไรก็ให้ตั้งใจทำ ทำให้จริง มันก็ได้จริง ทำเล่นมันก็ได้เล่น เข้าใจหรือเปล่า?"
"เข้าใจค่ะ" ข้าพเจ้าตอบหลวงปู่ ท่านยกมือขึ้นโบก
"ไปๆ ปู่จะนอน" พูดจบท่านก็เอนหลังลงนอน ข้าพเจ้าจึงลากลับกุฏิ ตั้งใจว่าคืนนี้จะไปถามอีก แต่คิดไปคิดมาสงสารท่าน ให้ท่านพักผ่อนดีกว่า เอาล่ะ ยุติการสนทนาเพียงนี้ดีกว่านะ หลวงปู่ท่านสมกับเป็นปูชนียบุคคลโดยแท้ เมตตาทุกคนที่แวะเวียนมากราบนมัสการ ขอพร ขอเมตตาจากหลวงปู่ แต่ไม่เห็นมีใครมาให้พรกับหลวงปู่บ้างเลย
ฉะนั้น ในวันนี้ ๑๗ กันยายน ๒๕๔๔ พวกลูกหลานซาบซึ้งในความเมตตากรุณาที่หลวงปู่มีให้กับหลานๆ หลานทุกคนจึงพร้อมใจกันอวยพรให้หลวงปู่บ้าง
"ลูกหลานขออัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก บารมีแห่งพระพุุทธองค์ อานิสงส์ของพระโพธิสัตว์ เทพเทวาทั้งหลาย ทุกภูมิ ทุกภพ บรรจบกับดวงจิตของหลานๆ ที่เพียรปฏิบัติบูชา คุณครูบาอาจารย์ ขอให้หลวงปู่ มีสุขภาพจิต สุขภาพกายแข็งแรง ทุกข์โศกโรคภัย จงอันตรธานหายไป ให้อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่หลานๆ ตราบนานเท่านาน และขออานิสงส์ทั้งหลายที่ได้เพียรปฏิบัติธรรม เจริญภาวนา บวกกับอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ของหลวงปู่ จงนำพาให้หลวงปู่ถึงแก่ มรรค ผล และนิพพาน ในอนาคตกาลเบื้องหน้านี้เทอญ....สา...ธุ"
แม่ชี ณัฐทิพย์ ตนุพันธ์
ผมขอขอบคุณ แม่ชี ณัฐทิพย์ ตนุพันธ์ และ ผู้จัดทำหนังสือครบรอบ ๑๐๖ ปี หลวงปู่สุภา อีกครั้ง ที่ทำให้ผมได้มีโอกาสคัดลอกบทความดีๆ มาเผยแพร่ในเวปบล็อกนี้
Tuesday, July 24, 2012
Monday, July 16, 2012
ปู่สอนหลาน (ตอนแรก)
ผมได้ขอนำบทความที่แม่ชี ณัฐทิพย์ ตนุพันธ์ ได้เขียนถึงหลวงปู่สุภา โดยผลงานจะเป็นลักษณะที่แม่ชีได้เรียนรู้จากการสนทนากับหลวงปู่ บทความนี้ได้ตีพิมพ์ไว้ในหนังสือ อัตตะประวัติ ๑๐๖ ปี หลวงปู่สุภา กันตะสีโล ของ นาย แสน วิชาชาญ
ปู่สอนหลาน
โดย...แม่ชี ณัฐทิพย์ ตนุพันธ์
เสียงระฆังดัง “เง่งหง่างๆ” มาแต่ไกล ปลุกให้ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายมี พระ, ชี, อุบาสก, อุบาสิกา ต่างทยอยกันทำกิจส่วนตัว สลัดความง่วงเหงาหาวนอน มาพร้อมกันในศาลาปฏิบัติธรรม สวดมนต์ไหว้พระเจริญภาวนา เมื่อทำกิจทางสงฆ์เสร็จต่างก็สะพายบาตรเดินบิณฑบาต โปรดญาติโยมไปตามทางลาดยาง ตามถนน ตามบ้าน
ชาวบ้านต่างกุลีกุจอใส่บาตรกันเป็นกิจวัตรทุกวัน ถ้าวันไหนไม่อยู่ชาวบ้านจะบอกทันที “พรุ่งนี้จะหยุดใส่บาตรสัก ๓ - ๔ วันนะ จะไปธุระต่างจังหวัด” นี่แหละน้ำใจและความศรัทธาญาติโยมที่มีให้กับผู้ที่บวชอยู่ในบวรศาสนา บรรพชิตทั้งหลายควรที่จะสำนึกในความเป็นบรรพชิต เป็นนักบวช เป็นลูกหลานของพระพุทธองค์ เป็นตัวแทนที่ดีงาม ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติบูชา พระพุทธคุณ, พระธรรมคุณ, พระสังฆคุณ มีคุณธรรมประจำกายและมีธรรมะประจำใจ เป็นตัวอย่างที่ดีแก่บรรพชิตรุ่นหลัง ช่วยพยุงเกื้อหนุนศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปตราบนานเท่านาน
ข้าพเจ้าก็เป็นผู้หนึ่งที่เลื่อมใสในความเป็น “พุทธ” เลื่อมใสในการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ของพระพุทธองค์และเหล่าสาวกทั้งหลายจึงต้องเข้ามาอยู่ในใต้ร่มโพธิ์ ร่มไทรแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม” เมื่อรับบิณฑบาตจนพอควรแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินกลับสำนักพร้อมด้วยเพื่อนสหธรรมิก มองเห็นเจดีย์ทองเหลืองอร่ามแต่ไกล เห็นเงาตะคุ่มๆ เดินโยกไป โย้มาคล้ายจะเซล้ม อ๋อ...พระแก่ๆ นั่นเองอายุคงจะราวๆ ๘๐ กว่าๆได้ ใครจะเชื่อว่าท่านจะอายุสูงขนาดนั้น “๑๐๖ ปี” โอ้โฮ...ยังแข็งแรงทั้งความคิด จดจำแม่นยำกว่าพวกเราที่ยังหนุ่มยังสาวอีก
ข้าพเจ้ารีบเดินกลับกุฏิ จัดการกับอาหารในบาตรเสร็จเรียบร้อย ตั้งใจจะมากราบนมัสการแก่พระรูปนั้น
“ อยากรู้ล่ะซิ ว่าพระแก่รูปนั้นคือใคร ? “
“ หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล” อ๋อ.....
ท่านยิ้มพร้อมกับโชว์ฟันและปากที่แดง พร้อมกับหมากที่ตำและอัดเป็นคำๆ เข้าปาก
“ ยาหรือ ?" ท่านเอ่ยถาม
“ ค่ะ" ข้าพเจ้าตอบพลางขยับเข้าไปใกล้
“ มีอะไร ?" หลวงปู่ถาม
“ หลวงปู่คะ ญาติโยมฝากคำถามต่างๆ ให้หนูช่วยเรียนถามหลวงปู่ค่ะ ?”
ท่านหันมามอง "ถามอะไร ?"
“ มีหลายคำถามค่ะ ?” ข้าพเจ้าตอบ
“ อ้าว!... เธอก็ตอบแทนปู่สิ ?" ท่านทำเสียงขึงขัง
“ ความรู้ ความสามารถ และอานิสงส์ของหนูยังด้อยค่ะ หลวงปู่ตอบดีกว่า หลวงปู่คะ การทำบุญใส่บาตร ถวายของให้พระกับชีจะได้บุญและอานิสงส์ต่างกันไหมคะ ?"
“ เธอว่าเท่ากันไหมล่ะ ?” ท่านย้อนถามและพูดต่อ
“ นี่ล่ะนะ ..... หลานเอ้ย ..... การทำบุญเขาไม่ให้เลือกพระ แต่ถ้าพระที่เราทำบุญไปแล้ว ไม่มีการเจริญภาวนา ไม่มีการทำกิจของสงฆ์ บวชมากินกับนอน “ ได้บุญ” แต่ได้ครึ่งเดียวต่างกับพระ ชี ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีการเจริญภาวนา แผ่เมตตาอยู่เป็นนิตย์ อานิสงฆ์ย่อมได้ต่างกัน”
“ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรคะ ?”
“ อ้าว .... ก็ดูเอาแหละ”
“ ชีปฏิบัติธรรม สามารถบรรลุเป็นอรหันต์ได้ไหมคะ ?” ข้าพเจ้าถามท่านต่อ
“ ทำไมจะไม่ได้ ดูอย่างพระเจ้าพิมพิสารสิ ไม่ได้บวชเป็นพระ ยังปฏิบัติเป็นอรหันต์ได้เลย พระที่บวชมา กินกับนอน ไม่ปฏิบัติอะไรเลย เล่นแต่คอมพิวเตอร์นั่นแหละลงนรกหมด” พูดจบท่านก็หัวเราะ
" หลวงปู่คะ พระบางรูปบอกว่า "ชี" ไม่ใช่นักบวช นักบวชจะต้องถือศีล ๑๐ ขึ้นไป?"
"ต่างคนก็ต่างพูดไปตามความคิดเห็นของตัวเอง รู้จริงบ้างไม่จริงบ้างล่ะ ลูกหลานเอ้ย...."
"นรก, สวรรค์ มีจริงมั๊ยคะ ?"
"เธอว่ามีมั๊ยล่ะ ?" ท่านย้อนถามข้าพเจ้า
" ถ้าถามหนู หนูว่ามีจริง แต่บางคนบอกว่าไม่มี ชาติหน้ายังไม่รู้ว่าจะมีจริงหรือเปล่า! อย่างนี้เขาเรียกว่า "ประมาท" เอาง่ายๆ ถ้าเราทำความดี จิตใจเราก็เบิกบาน สบายใจสบายกาย นี่แหละ "สวรรค์ในอก" ถ้าทำสิ่งชั่วสิ่งเลว มันก็หาความสุขไม่ได้ มีแต่หวาดระแวง นี่ไง "นรกในใจ" ตายทั้งเป็นทั้งที่ยังไม่ตายเลย จริงมั๊ยคะ ?" ข้าพเจ้าถามหลวงปู่
ท่านพยักหน้ารับ
"การทำบุญเนี่ย บางคนชอบทำบุญ แต่พอทำไปด่าไป ตำหนิไป จะได้บุญไหมคะ ?"
"ก็สิ่งที่เค้าด่าน่ะ จริงมั๊ยล่ะ ถ้าจริงมันก็ถูกของเขา แต่ถ้าไม่จริง เค้าก็ลงนรกเองแหละ"
"หลวงปู่ ... คนตายไปแล้ว ญาติโยมทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้นั้น เค้าจะได้รับหรือเปล่าคะ ?"
" คนส่งถึง คนรับถึง มันก็ถึงว่ะ"
" บางคนบวชไม่ได้ แก้เคล็ดโดยการเป็นโยมอุปถัมภ์พระหรือชีที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ จะได้อานิสงส์ไหมคะ ?"
"อ้า.... ก็ได้น่ะสิ และเธอจะรู้ได้ยังไงว่าพระหรือชี รูปไหน ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ? " ท่านย้อนถามข้าพเจ้า
" ตามความเห็นของหนูนะ.... หนูจะไม่ดูพระที่บุคลิกภายนอกเพราะพระบางรูป เสแสร้งเก่ง เวลาอยู่กับญาติโยม วางตัวดูแล้วน่าเลื่อมใส ทำท่าทางนิ่มนวล พูดจาไพเราะ โดยเฉพาะกับสีกาสาวๆ ทำเหมือนว่าปฏิบัติเคร่ง แต่พอลับหลังเป็นคนละคนเลย ญาติโยมไม่เห็นไม่รู้ นั่นก็ต้องเป็นกรรมของคุณโยมที่เจอพระแบบนั้น เหมือนกับส่งเสริมในสิ่งที่พระทำไม่ดีให้เจริญงอกงามออกนอกลู่นอกทางของการเป็นบรรพชิต เป็นศิษย์เป็นลูกหลานของพระพุทธองค์แต่เพียงกาย บวชมาเพื่อแสวงหาชื่อเสียง ลาภสักการะ หาช่องทางทำมาหากินโดยอาศัยจีวรพระมาห่มกาย ออกเรี่ยไรญาติโยมพุทธบริษัทให้ศรัทธา บวชมาศึกษาแบบฆราวาสเขาทำกัน อย่างนี้ถือว่าผิดพระธรรมวินัยมั้ยคะ ?" ข้าพเจ้าถาม
" อันนี้นะ .... ผิดวินัยสงฆ์ แต่ไม่บาป เพราะไม่ได้ทำร้ายใคร หรือทำให้ใครเดือดร้อน"
"หลวงปู่คะ.... ทำไมพวกที่นั่งสมาธิเห็นโน่นเห็นนี่ แต่พอให้ดูสิ่งเดียวกัน ทำไมจึงดูไม่เหมือนกันคะ ?"
" ถ้าดูจริง ทำจริง ได้จริง มันก็จริง ทำไม่จริง ดูไม่จริง ได้ไม่จริง มันก็ไม่จริง"
" ยังไงคะ ?" ข้าพเจ้าย้อนถามหลวงปู่
" อ้าว... ถ้ามันปฏิบัติจริง นั่งได้ดวงธรรมจริง เห็นจริง มันก็จริงล่ะ ถ้าไม่ได้ดวงธรรมจริง มันก็โกหกล่ะซิ"
"แล้วเราจะรู้ได้ยังไงคะ ?"
"อ้าว.... เธอก็นั่งได้นี่ ก็นั่งดูเอาเองวะ.... ถามได้" หลวงปู่พูดแล้วก็หัวเราะด้วยอารมณ์ดี นั่งกระดิกเท้าชอบใจใหญ่ สรุปแล้วจริงหรือไม่จริง ต้องพิสูจน์เอาเอง
" เฮ้อ" .... ข้าพเจ้าถอนใจ
ข้าพเจ้าหยุดถามหลวงปู่ครู่หนึ่ง ท่านก็นั่งเคี้ยวหมากพร้อมกับเอนหลังพิงกับหมอน หลับตาเคี้ยวหมากอย่างอร่อย อยู่อย่างนั้น
"เลิกถามแล้วรึ ?" ท่านถามทั้งยังหลับตาอยู่อย่างนั้น
" มีอีกค่ะ"
" ให้หลวงปู่พักผ่อนก่อนค่ะ"
" หลวงปู่คะ พระบางรูปบอกว่า "ชี" ไม่ใช่นักบวช นักบวชจะต้องถือศีล ๑๐ ขึ้นไป?"
"ต่างคนก็ต่างพูดไปตามความคิดเห็นของตัวเอง รู้จริงบ้างไม่จริงบ้างล่ะ ลูกหลานเอ้ย...."
"นรก, สวรรค์ มีจริงมั๊ยคะ ?"
"เธอว่ามีมั๊ยล่ะ ?" ท่านย้อนถามข้าพเจ้า
" ถ้าถามหนู หนูว่ามีจริง แต่บางคนบอกว่าไม่มี ชาติหน้ายังไม่รู้ว่าจะมีจริงหรือเปล่า! อย่างนี้เขาเรียกว่า "ประมาท" เอาง่ายๆ ถ้าเราทำความดี จิตใจเราก็เบิกบาน สบายใจสบายกาย นี่แหละ "สวรรค์ในอก" ถ้าทำสิ่งชั่วสิ่งเลว มันก็หาความสุขไม่ได้ มีแต่หวาดระแวง นี่ไง "นรกในใจ" ตายทั้งเป็นทั้งที่ยังไม่ตายเลย จริงมั๊ยคะ ?" ข้าพเจ้าถามหลวงปู่
ท่านพยักหน้ารับ
"การทำบุญเนี่ย บางคนชอบทำบุญ แต่พอทำไปด่าไป ตำหนิไป จะได้บุญไหมคะ ?"
"ก็สิ่งที่เค้าด่าน่ะ จริงมั๊ยล่ะ ถ้าจริงมันก็ถูกของเขา แต่ถ้าไม่จริง เค้าก็ลงนรกเองแหละ"
"หลวงปู่ ... คนตายไปแล้ว ญาติโยมทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้นั้น เค้าจะได้รับหรือเปล่าคะ ?"
" คนส่งถึง คนรับถึง มันก็ถึงว่ะ"
" บางคนบวชไม่ได้ แก้เคล็ดโดยการเป็นโยมอุปถัมภ์พระหรือชีที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ จะได้อานิสงส์ไหมคะ ?"
"อ้า.... ก็ได้น่ะสิ และเธอจะรู้ได้ยังไงว่าพระหรือชี รูปไหน ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ? " ท่านย้อนถามข้าพเจ้า
" ตามความเห็นของหนูนะ.... หนูจะไม่ดูพระที่บุคลิกภายนอกเพราะพระบางรูป เสแสร้งเก่ง เวลาอยู่กับญาติโยม วางตัวดูแล้วน่าเลื่อมใส ทำท่าทางนิ่มนวล พูดจาไพเราะ โดยเฉพาะกับสีกาสาวๆ ทำเหมือนว่าปฏิบัติเคร่ง แต่พอลับหลังเป็นคนละคนเลย ญาติโยมไม่เห็นไม่รู้ นั่นก็ต้องเป็นกรรมของคุณโยมที่เจอพระแบบนั้น เหมือนกับส่งเสริมในสิ่งที่พระทำไม่ดีให้เจริญงอกงามออกนอกลู่นอกทางของการเป็นบรรพชิต เป็นศิษย์เป็นลูกหลานของพระพุทธองค์แต่เพียงกาย บวชมาเพื่อแสวงหาชื่อเสียง ลาภสักการะ หาช่องทางทำมาหากินโดยอาศัยจีวรพระมาห่มกาย ออกเรี่ยไรญาติโยมพุทธบริษัทให้ศรัทธา บวชมาศึกษาแบบฆราวาสเขาทำกัน อย่างนี้ถือว่าผิดพระธรรมวินัยมั้ยคะ ?" ข้าพเจ้าถาม
" อันนี้นะ .... ผิดวินัยสงฆ์ แต่ไม่บาป เพราะไม่ได้ทำร้ายใคร หรือทำให้ใครเดือดร้อน"
"หลวงปู่คะ.... ทำไมพวกที่นั่งสมาธิเห็นโน่นเห็นนี่ แต่พอให้ดูสิ่งเดียวกัน ทำไมจึงดูไม่เหมือนกันคะ ?"
" ถ้าดูจริง ทำจริง ได้จริง มันก็จริง ทำไม่จริง ดูไม่จริง ได้ไม่จริง มันก็ไม่จริง"
" ยังไงคะ ?" ข้าพเจ้าย้อนถามหลวงปู่
" อ้าว... ถ้ามันปฏิบัติจริง นั่งได้ดวงธรรมจริง เห็นจริง มันก็จริงล่ะ ถ้าไม่ได้ดวงธรรมจริง มันก็โกหกล่ะซิ"
"แล้วเราจะรู้ได้ยังไงคะ ?"
"อ้าว.... เธอก็นั่งได้นี่ ก็นั่งดูเอาเองวะ.... ถามได้" หลวงปู่พูดแล้วก็หัวเราะด้วยอารมณ์ดี นั่งกระดิกเท้าชอบใจใหญ่ สรุปแล้วจริงหรือไม่จริง ต้องพิสูจน์เอาเอง
" เฮ้อ" .... ข้าพเจ้าถอนใจ
ข้าพเจ้าหยุดถามหลวงปู่ครู่หนึ่ง ท่านก็นั่งเคี้ยวหมากพร้อมกับเอนหลังพิงกับหมอน หลับตาเคี้ยวหมากอย่างอร่อย อยู่อย่างนั้น
"เลิกถามแล้วรึ ?" ท่านถามทั้งยังหลับตาอยู่อย่างนั้น
" มีอีกค่ะ"
" ให้หลวงปู่พักผ่อนก่อนค่ะ"
Thursday, June 21, 2012
ให้ดูตัวเอง อย่าโลเล อย่าหลับ
ก่อนอื่น ผมขอขอบคุณ คุณ Tboon จากเวปพลังจิต ที่คุณได้นำบทความดีๆ เกี่ยวกับคำสั่งสอนของหลวงปู่สุภา กันตสีโล ที่ได้สอนสั่งให้แก่คุณ Tboon มาเล่าให้ฟัง
----------------------------------------------------------
คำว่า "ให้ดูตัวเอง" นั้น หมายถึง ให้มีโอปนยิโกนั่นเอง พระอริยเจ้าทั้งหลาย มีปกติน้อมดูกายดูใจตนเองเป็นหลัก เว้นการส่งจิตออกนอกอย่างไม่มีสติ ไม่มีอคติ เพ่งโทษ ละเสียซึ่งความมีทิฏฐิมานะ ทำลายอัตตาตัวตน ละเสียซึ่งความโลภ ด้วยการให้ทานตั้งแต่วัตถุทานไปจนถึงอภัยทาน และการเสียสละความสุขความเมามัวในกายในใจตนมุ่งต่อประโยชน์ส่วนรวม
ละราคะ ความกำหนัดยินดีพอใจในการเสพ ไม่ว่าเสพสิ่งใด หากหลงพึงพอใจในการเสพแล้ว ย่อมเกิดโทษกับตนเองและผู้อื่น เมื่อพอใจในการเสพ ความไม่พอใจในการเสพย่อมมีอยู่ ปฏิฆะคือความขุ่นเคืองผลักไสจึงมีอยู่ด้วยเมื่อได้พบสิ่งอันไม่พึงใจนั้น การไม่หลงพอใจการเสพกามคุณ (กามที่มีคุณอยู่บ้าง) จึงเท่ากับเป็นการละปฏิฆะของคู่กันไปด้วยในตัว และละความหลง คือทำความเข้าใจในอาการอันเป็นเหตุแห่งความหลงทั้งปวง ตั้งแต่หลงอาการของขันธ์ ๕ เป็นต้นไป อ่านตัวเองให้ออกตลอดเวลา รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเองตลอดเวลา ให้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นครูเป็นอาจารย์สอนเรา ทดสอบ ปรับปรุงแก้ไขไปจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางในที่สุด
คำว่า "อย่าโลเล" คือ ให้ละนิวรณ์ นิวรณ์คือเครื่องกั้นความดี เช่นเราตั้งใจทำความดีอะไรสักอย่างหนึ่งแล้ว พอทำไปได้สักระยะ เราก็เกิดอาการท้อถอย พอมีสิ่งใดมากระทบเราก็เกิดท้อ เกิดเกียจคร้าน เบื่อ หนาวไปบ้างล่ะ ร้อนไปบ้างล่ะ ก็กลายเป็นเหตุแห่งความโลเล ไม่ตั้งมั่น จิตก็ขาดพลังความตั้งมั่น การละนิวรณ์ไม่ใช่หมายเพียงแค่เวลานั่งสมาธิดูนิวรณ์เข้าแทรกทำลายกันตอนนั้น แต่หมายถึงทุกเวลาทุกวินานทีที่จิตใจเราเริ่มอ่อนแอ เราอ่อนแอไปเพราะเหตุใด ต้องรู้ให้ทัน และไม่ทำตามมัน ฝืนนิวรณ์บ่อย ๆ จิตจะเข้มแข็งขึ้นไปเอง ความมั่นใจจะมากขึ้นเอง จิตจะทรงพลานุภาพได้อย่างน่าอัศจรรย์
คำว่า "อย่าหลับ" คือ ให้มีสติ หลวงปู่เคยสอนตรง ๆ ว่า เวลาทำอะไรแล้วหลงเคลิ้มไป ไปทำตามความอยากตามใจกิเลสนั้นคือ อาการหลับ ตื่นอยู่นี้ก็หลับได้ หลับคือไม่มีสตินั่นเอง ก็สรุปว่า ท่านสอนให้มีสติตื่นรู้อยู่ตลอดเวลา ถ้าสติเราน้อย ศีลเราก็พร่องไปได้ง่าย
------------------------------------------------
รวมความคำสอนอันสั้น 3 ข้อนี้ได้ว่า
ให้ดูตัวเอง = ปัญญา (อ่านตัวเองให้ออก ชำระสะสางกิเลสไปเรื่อย ๆ)
อย่าโลเล = สมาธิ (ละนิวรณ์ ให้มีจิตตั้งมั่น ไม่ว่าจะทำอะไร จงทำให้สำเร็จ)
อย่าหลับ = สติสัมปชัญญะ (รู้สึกตัวตลอดเวลา)
------------------------------------------------
สาธุ ศิษย์ขอกราบขอบพระคุณท่านอย่างสูงครับ
แหล่งที่มา: คุณ Tboon จาก เวปพลังจิต
Tuesday, June 19, 2012
คติธรรมของ หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล
การบวช ก็คือ การแสวงหาสัจจธรรม
มีเป้าหมายอยู่ที่ความหลุดพ้น หรือที่เรียกว่า วิมุตฺติ
***
การแสวงหาสัจจธรรม ก็คือ การแสวงหาความจริง
ความจริง ที่พระพุทธองค์ ท่านตรัสว่า สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ต้องดับ
และสิ่งใดดับ สิ่งนั้นก็ย่อมเกิดอีก มันวนเวียนๆ อยู่อย่างนี้
หลักสัจจธรรมมันมีอยู่แค่นี้ แต่ตัวเราจะทำอย่างไรกับสิ่งเหล่านั้น
จะทำอย่างไรให้รู้จริง ให้เห็นจริง และให้เข้าใจจริงๆ
***
การออกบวชของหลวงปู่ ก็เพื่อต้องการศึกษาค้นคว้า
ถึงบ่อเกิดของการเกิดต่างๆ เพื่อที่จะหาทางปฏิบัติให้หลุดพ้น
จากหลักข้อนี้ คือ ไปสู่วิมุตติ ไม่ต้องเกิด ไม่ต้องดับ อีกแล้ว
***
อยู่ในป่า นั่งวิปัสสนา ทำสมาธิ แผ่เมตตา ไปเรื่อยๆ
นั่งสมาธิไปเรื่อย ลืมตาแล้วก็เพ่งๆ แล้วก็เกิดตาเนื้อ
ตาในก็ต้องหลับ ตาเนื้อก็ต้องลืม ตาหนังก็มองไม่เห็น
***
การเดินทางธุดงค์ ถ้าจิตเราว่อกแว่ก
เรากลัวเกินไป “ตาย” ถ้ายังตัดความกลัวไม่ขาด
***
ขอบิณฑบาตเถอะ อาตมาเองจะไปในทางที่ดี
อยากสำเร็จมรรค สำเร็จผล อยากขึ้นสู่สวรรค์และนิพพาน
***
ถ้าเสียสัตย์ ก็เสียศีล เสียศีลแล้ว ธรรมก็ไม่บังเกิด
***
ฉันสละหมดแล้ว ชีวิต ร่างกาย อะไรต่ออะไร
ไม่มีแล้ว ฉันปรารถนาทุกวันนี้ “นิพพาน”
***
ก็เราตั้งสัจจะอธิษฐานมาแล้ว จากวัดของเราที่พูดกันมา
ถึงยาก ถึงง่าย มันก็ต้องพยายาม เราต้องอดทน ต้องขยัน มีขันติ
***
เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นอะไร เกิดมาอย่างไร
และมีที่ไปอย่างไร มันก็ไปเข้าหลักสัจจธรรม
ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นต้องดับ
***
เข้าให้ถึงสัจจธรรม เพื่อข้ามพ้นกองทุกข์ต่างๆ นานาที่มีอยู่รอบตัวเรา
จะต้องปฏิบัติธรรม ทำสมาธิให้จิตได้ดวงธรรม ดวงธรรมคือ ความสว่าง
ความสว่างคือความสว่างในทางปัญญา ที่ทำให้เราสามารถรู้ และ
มองเห็นสัจจธรรมได้ลึกซึ้งลงไป รู้จริง แม้กระทั่งทางในจิตใจเราเอง
***
การปฏิบัติธรรม ปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงสิ่งนั้น การปฏิบัติเพื่อให้เห็นสิ่งนั้น
และ ปฏิบัติเพื่อให้รู้สิ่งนั้น การปฏิบัติจะปฏิบัติอย่างไร
จึงจะเข้าถึงสิ่งนั้น ส่วนนี้เราจึงต้องมาหัดนั่งสมาธิ มาทำกรรมฐานกัน
เพื่อฝึกจิตใจให้เป็นสมาธิไม่ว่อกแว่ก หยั่งจิตให้ลึกในธรรม ให้เข้าถึงสัจจธรรมนั้น
***
เรียนนี่ไม่ใช่อะไร อยากรู้ อยากศึกษาว่าอะไรมันจะเหนือกว่ากันหรือพิเศษกว่ากัน
หรือจะสำเร็จในตัวของเรา ในบุรพชาติของเราแต่ชาติก่อน
***
ตั้งสัจจะไว้ให้ดี ตั้งจิตให้มั่น อย่าไปกระดุกกระดิก
นั่งเพ่งแผ่เมตตาจิตตลอดเวลา
***
แม้ว่าเราจะมีศีล แม้ว่าเราจะมีธรรม เราควรเคารพเจ้าป่าเจ้าเข
ผ้าจีวรก็ดี ผ้าสบงก็ดี อย่าตากทับพุ่มไม้ กอไม้
***
ให้ถือสัตย์ ศีลห้าอย่าให้ขาดจะตลอดรอดมาได้ อย่าไปโลภ อย่าไปหลง
***
การที่จะไปวิมุตติได้นั้น มันต้องผ่านการศึกษาค้นคว้าและปฏิบัติ
หลวงปู่จึงต้องเดินทางไปศึกษาค้นคว้ากับผู้รู้ต่างๆ และปฏิบัติธรรมมาอย่างต่อเนื่อง
***
"ไปให้ดีนะลูก เดินให้สม่ำเสมอ อย่าเร็ว อย่าช้า
ให้ค่อยไป ให้ค่อยมา โบราณเขาว่า
อยากถึงเร็วให้คลาน อยากถึงนานให้วิ่ง"
(หลวงปู่สีทัตต์ให้โอวาทก่อนลาจากไปออกธุดงค์)
***
"อยากให้ของมันเกิด อยากให้ของมันดับ
อะไรเกิดอันนั้นก็ต้องดับ อะไรดับ อันนั้นก็ต้องเกิด"
(โอวาทจากหลวงปู่ศุข)
***
ถ้าศีลบริสุทธิ์ คุณวิเศษต่างๆ ก็จะมีมาเอง
***
ฆ่าจิตของเราให้มันตาย
อย่าให้มันมีโกรธ อย่าให้มีโลภ อย่าให้มีหลง
Sunday, June 17, 2012
ประวัติ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว
หลวงปู่บุญ ชาตะเมื่อวันจันทร์ขึ้น ๓ค่ำ เดือน ๘ ปีวอก จุลศักราช ๑๒๑๐ สัมฤทธิศกเวลาย่ำรุ่งใกล้สว่าง ตรงกับวันที่ ๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๓๙๑ อันเป็นปีที่ ๒๕ แห่งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ท่านชาตะ ณ. บ้านตำบลท่าไม้ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร (ในครั้ง นั้นยังเป็นตำบลบ้านนางสาว อ.ตลาดใหม่ เมืองนครชัยศรี มณฑลนครชัยศรี ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นบ้านท่าไม้ อ.สามพราน จ.นครปฐม แต่ปัจจุบันนี้ ต.ท่าไม้ ได้โอนไปขึ้นกับ อ.กระทุ่มแบน จ.สุมทรสาคร)
โยมบิดาของหลวงปู่มีนามว่า "เส็ง" โยมมารดามีนามว่า "ลิ้ม" ท่านมี พี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน ๖ คน โดยตัวท่านเป็นคนหัวปี มีน้องชายหญิง ๕ คน ลำดับดังนี้
๑. นางเอม
๒. นางบาง
๓. นางจัน
๔. นายปาน
๕. นายคง
![]() |
หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว |
เหตุแห่งมีนามว่า "บุญ"
เมื่อวัยทารก ท่านมีอาการป่วยหนักถึงแก่สลบไป และไม่หายใจในที่สุดบิดามารดาและญาติ เมื่อเห็นว่า ท่านตายเสียแล้วจึงจัดแจงจะเอาท่านไปฝัง แต่ปรากฏว่ายังไม่ทันที่จะได้ฝังท่านก็กลับฟื้นขึ้นมา บิดามารดา ได้ถือเอาเหตุนี้ตั้งชื่อให้แก่ท่านว่า "บุญ"
การศึกษาและบรรพชา
เมื่อครั้งที่หลวงปู่บุญ ยังอยู่ในวัยเยาว์นั้น โยมทั้งสองได้ย้ายภูมิลำเนามาทำนาที่ตำบลบางช้าง อ.สามพราน เมื่อท่านอายุได้ ๑๓ ปี โยมบิดาได้ถึงแก่กรรม โยมป้าของท่านจุงนำไปฝากให้ศึกษาเล่าเรียนอยู่กับพระปลัด ทอง ณ วัดกลาง ซึ่งในสมัยนั้นมีชื่อว่า "วัดคงคาราม" ต.ปากน้ำ (ปากคลองบางแก้ว) อ.นครชัยศรี เมื่อท่าน อายุได้ ๑๕ ปีเต็มพระปลัดทองจึงทำการบรรพชาให้เป็นสามเณรและได้อบรมสั่งสอนวิชาความรู้ต่างๆ ให้ เมื่อครั้งนั้นท่านได้รับใช้อย่างใกล้ชิดจึงทำให้เป็นที่รักใคร่ของพระปลัดทอง แต่เมื่อมีอายุได้ใกล้อุปสมบท ท่านมีความจำเป็นต้องลาสิกขาเนื่องด้วยความป่วยไข้เบียดเบียน
อุปสมบท
หลวงปู่บุญ อุปสมบทเมื่ออายุได้ ๒๒ ปี ณ พัทธสีมา วัดกลางบางแก้ว เมื่อวันจันทร์เดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีมะเส็ง จุลศักราช ๑๒๓๑ เอกศกเพลาบ่ายตรงกับวันที่ ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๑๒ ในท่ามกลาง ที่ประชุมสงฆ์ ๓๐ รูป โดยมีพระปลัดปาน เจ้าอาวาสวัดพิไทยทาราม (วัดตุ๊กตา) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระ ปลัดทอง เจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว พระอธิการทรัพย์ เจ้าอาวาสวัดงิ้วราย พระครูปริมานุรักษ์ วัดสุประดิษฐานราม และพระอธิการจับ เจ้าอาวาสวัดท่ามอญร่วมกันให้สรณาคมณ์กับศีลและสวดกรรมวาจา อนึ่ง การที่มีพระอาจารย์ร่วมพิธีถึง ๔ รูปเช่นนี้ก็เพราะพระเถระเหล่านี้เป็นที่เคารพนับถือ ของผู้ใหญ่ที่เป็นเจ้า ภาพอุปสมบทแล้วพระอุปัชฌาย์ขนานนามฉายาให้ว่า "ขนฺธโชติ" แล้วให้จำพรรษาอยู่กับพระปลัดทอง ที่วัดกลางบางแก้ว
การศึกษาทางปริยัติและปฏิบัติ
หลวงปู่บุญ ถูกว่างพื้นฐานในทางธรรมมาอย่างดีแล้วตั้งแต่เป็นเด็กวัดและสามเณร ซึ่งช่วงระยะเวลา ดังกล่าวประมาณ ๕-๖ ปี ที่ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้พระปลัดทอง จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าพื้นฐานในทางธรรม ของท่านถูกถ่ายทอดมาโดยพระปลัดทองทั้งสิ้น อาจารย์อีกรูปหนึ่งของท่านก็คือพระปลัดปาน เจ้าอาวาส วัดตุ๊กตา ซึ่งจากปากคำของพระครูธรรมวิจารณ์ (ชุ่ม) เจ้าอาวาสวัดศรีสุดาราม (วัดชีปะขาว) บางกอกน้อย เคยกล่าวไว้ว่าหลวงปู่บุญได้เล่าเรียนกรรมฐานและอาคมกับท่านปลัดปาน อันที่จริงนั้นอาจารย์ที่ถ่ายทอด วิชาความรู้ทางธรรม ทั้งปริยัติและปฏิบัติตลอดจนพระเวท และพุทธาคมให้แก่ท่านยังมีอีกหลายรูป แต่จะกล่าวถึงในถัดไป
สมณศักดิ์และตำแหน่ง
ในปี พ.ศ. ๒๔๒๙ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอธิการปกครองวัดกลางบางแก้ว
ในปี พ.ศ.๒๔๓๑ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระกรรมวาจาจารย์
ในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะหมวด
ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาอีก ๔ เดือน คือวันที่ ๓๐ ธันวาคม ศกเดียวกันก็ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูมีราชทินนามว่า "พระครูอุตรการบดี" และยกให้เป็นเจ้าคณะแขวง
เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๖๒ ก็ได้รับพระกรุณาโปรดให้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญา บัตรที่ "พระครูพุทธวิถีนายก" และให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรการคณะสงฆ์จังหวัดนครปฐมกับจังหวัด สุพรรณบุรี
ในปีพ.ศ. ๒๔๗๑ ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดให้เลื่อนขึ้นเป็นพระราชาคณะสามัญในราชทินนามที่ "พระพุทธวิถีนายก"
ประวัติชีวิตหลวงปู่บุญที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงส่วนย่อยในทั้งหมดของท่าน เพราะหากจะนำมาเขียนกัน จริงๆ คงต้องยืดยาวมาก อีกทั้งได้มีนักเขียนหลายท่านพรรณาไว้อย่างถูกต้องดีแล้วผู้เขียนจึงเว้นไว้เสีย ไม่นำมากล่าวถึงอีก
เมตตาธรรม
ปกติหลวงปู่บุญ เป็นพระที่มีความเมตตากรุณาแก่บุคคลทั้งหลายเป็นอันมาก ได้อุปการะพระลูกวัดตลอดจน สานุศิษย์ และเกื้อกูลชาวบ้านอยู่เป็นนิจ ตลอดอายุขัยของท่าน ทั้งนี้เกิดจากเป็นนิสัยโดยกำเนิดของท่านที่ เป็นผู้มีใจเป็นบุญกุศลและปฏิเสธการกระทำอันเป็นบาปมาตั้งแต่เยาว์วัยแล้ว
ปล่อยปลาหมดข้อง
สมัยเมื่อหลวงปู่บุญ ยังเป็นเด็กเล็กๆ อยู่กับโยมทั้งสอง ก็มีลักษณะแปลกกว่าเด็กทั้งหลายคือ ไม่ยอมฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต และไม่ชอบการจับเอาสัตว์มาเล่น ทรมานเหมือนเด็กอื่นๆ โยมทั้งสองซึ่งมีอาชีพในการทำนานั้น ขณะว่างจากงานก็จะเที่ยวหาปลาตามหนองน้ำต่างๆ เพื่อมาทำอาหารบริโภคเช่นเดียวกับชาวนาบททั้งหลาย และโยมทั้งสองก็มักจะเอาท่านไปด้วย เพราะท่านเป็นบุตรคนหัวปี โดยมอบท่าน สะพายข้องใส่ปลาที่จับได้ ตอนแรกๆ ท่านไม่ยอมไปด้วย ก็ถูกโยมดุว่า ท่านจึงจนใจต้องสะพานย่ามติดตามโยมไปด้วย ในวันหนึ่งโยม จับปลาได้มาก ต่างก็พากันดีใจปลดปลาใส่ข้องได้หลายตัว ครั้นกลับมาถึงบ้านเตรียมนำเอาปลามาทำอาหาร พอเปิดข้องออกดูปรากฏว่า ไม่มีปลาในข้องเลยแม้แต่ตัวเดียว
เมื่อโยมถามท่านก็บอกว่าเอาปลาปล่อยไปตามทางหมดแล้ว เป็นอันว่าในวันนั้น แทบจะไม่มีกับข้าว รับประทานกันทั้งบ้าน โยมโกรธท่านมากและไม่ลงโทษเฆี่ยนตีท่าน อย่างรุงแรงหลังจากนั้นมา โยมก็มิได้ เอาท่านไปหาปลาอีกเลย และท่านก็ได้กลายเป็นเด็กที่ซึมเซาเหงาหงอยเบื่อความมีชีวิตอย่างโลภๆ หลวงปู่บุญ เคยเล่าให้ผู้ใกล้ชิดฟังว่าท่านมีความรู้สึกมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยแล้วว่า ชีวิตทางโลกเป็นหนทางที่มีแต่ความ เบียดเบียน และมีความปรารถนาจะเข้าวัดบวชเรียนเสียเร็วๆ และก็ได้มีโอกาสบวชเป็นสามเณร เมื่ออายุได้ ๑๓ ปี และมีชีวิตในทางธรรมมาตลอด
อำนาจ ตบะเดชะ
แม้ว่าหลวงปู่บุญ จะเป็นผู้เฒ่าที่ใจดี แต่ก็ไม่วายที่จะมีคนเกรงกลัวกันมาก กล่าวกันว่าท่านเป็นผู้ที่มีอำนาจ ในตัว กอปรด้วยท่านเป็นคนพูดน้อย มีแววตากล้าแข็ง จึงไม่ว่าใครๆ ต่างก็พากันเกรงขามท่านกันทั้งนั้น ใครก็ตามที่มีธุระทุกข์ร้อยมาหาท่าน ท่านก็จะรับเป็นภาระช่วยบำบัดปัดเป่าทุกข์ภัยนั้น ให้ด้วยความเมตตา กรุณาโดยทั่วหน้ากัน บางคนมาขอฤกษ์ หรือมาให้ท่านทำนายเกณฑ์ชะตาบอกข่าว ในคราวประสพ เคราะห์กรรมต่างๆ บ้างก็ขอให้ท่านรดน้ำพุทธมนต์ หรือมิฉะนั้นก็มาขอยารักษาโรคจากท่าน ครั้นเมื่อท่าน จัดการให้เรียบร้อยแล้ว ท่านก็จะนั่งนิ่งๆ ไม่พูดจาว่ากระไรอีก คนที่มาหาท่านก็จะลงมือทำงานของท่านต่อไป โดยปรกติแล้วในวันหนึ่งๆ หลวงปู่หาเวลาว่างจริงๆ ได้ยาก ท่านทำงานของท่านตลอดเวลา เว้นแต่เวลาฉัน หรือเวลาจำวัดเท่านั้น
บุคลิกพิเศษของหลวงปู่อีกประการหนึ่งทำให้คนเกรงขามก็คือ แววนัยน์ตาอันแข็งกร้าวอย่างมีอำนาจ ของท่าน ทุกครั้งที่ท่านพูดกับใครนัยน์ตาคู่นี้จะจับต้องนัยน์ตาของผู้นั้นแน่นิ่งอยู่ตลอดเวลา นัยน์ตา ที่ทรง พลังอำนาจเช่นนี้อย่าว่าแต่คนธรรมดาเลย แม้ขุนโจรใจโหดก็จะไม่กล้าสู่นัยน์ตาท่านได้
ครั้งหนึ่งมีพระลูกวัด ๒-๓ องค์ แอบไถลมานั่งคุยกันเล่นอย่างสนุกสนานที่ท้ายน้ำหน้าวัดพร้อมกับร้อง ทักทายชาวบ้านที่พายเรือผ่านหน้าวัดไปมา โดยละเลยต่อการปฏิบัติศาสนากิจตามกำหนด หลวงปู่เดินมา เห็นเข้าพระเหล่านั้นต่างตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดเกรงท่าน มีอยู่องค์หนึ่งที่ตกใจมากกว่าเพื่อนไม่รู้ว่า จะหลบหนีหลวงปู่ไปทางไหนดี เลยโดดหนีลงไปในแม่น้ำต่อหน้าต่อตาท่านทั้งๆ ที่ตอนนั้นเป็นฤดูหนาว และน้ำในแม่น้ำก็เย็นจัดหลวงปู่ได้ร้องบอกว่า "ขึ้นมาเถอะคุณเดี๋ยวจะเป็นตะคริวตายเสียเปล่าๆ" แล้วท่านก็ลงมืออบรมสั่งสอนพระเหล่านั้นให้ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องทำให้พระทุกองค์พากันเข็ดขยาด ไปอีกนาน
อีกเรื่องหนึ่งที่ หลวงปู่บุญไม่ชอบ ก็คือ ชาวบ้านที่ชอบนุ่งโสร่งเข้าวัด ท่านมักจะปรารภในเรื่องนี้ว่า "การแต่งกายเป็นเครื่องสอนนิสัยใจคอคน การเข้าวัดเข้าวาไม่ควรนุ่งโสร่งลอยชายมันไม่สุภาพ ควรนุ่งห่มให้เรียบร้อยสักหน่อยจะสมควร" ข่าวอันนี้เมื่อล่วงรู้ไปถึงชาวบ้านละแวกนั้นเข้า ก็กลายเป็น ข้อปฏิบัติที่ว่าต่อไปเมื่อใครจะเข้าวัดจะต้องแต่งกายให้เรียบร้อย โดยจะต้องไม่นุ่งโสร่งเป็นอันขาด
อาพาธและมรณภาพ
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๑ เป็นต้นมา ซึ่งหลวงปู่บุญได้รับพระกรุณาโปรดให้เป็นพระราชาคณะที่พระพุทธวิถี นายกนั้น ท่านมีอายุได้ ๘๑ ปีแล้ว งานบริหารกิจการสงฆ์จังหวัดนครปฐมและสุพรรณบุรีที่ผ่านมาก็ได้ ดำเนินมาด้วยความเรียบร้อย กิจการศาสนาในด้านต่างๆ โดยการนำของท่านก็ประสบแต่ความเจริญรุ่งเรือง ตลอดมาด้วยดี แต่ระยะหลังๆ นี้ หลวงปู่บุญ กำลังเข้าสู่วัยชราภาพมากแล้ว สังขารก็ทรุดโทรร่วงโรยลงไปตาม วันเวลา จะเดินทางไปไหนมาไหนแต่ละครั้งก็ไม่สะดวก ท่านจึงกราบทูลขอลาออกจากคณะสงฆ์ สมเด็จพระ สังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ มีรับสั่งถามหลวงปู่ว่าเวลานี้อายุได้เท่าไร ท่านก็กราบทูลว่า ๘๑ ปีเศษ ทรงรับสั่งว่า "จงอยู่ไปก่อนเถิด"
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๑ เป็นต้นมา ซึ่งหลวงปู่บุญได้รับพระกรุณาโปรดให้เป็นพระราชาคณะที่พระพุทธวิถี นายกนั้น ท่านมีอายุได้ ๘๑ ปีแล้ว งานบริหารกิจการสงฆ์จังหวัดนครปฐมและสุพรรณบุรีที่ผ่านมาก็ได้ ดำเนินมาด้วยความเรียบร้อย กิจการศาสนาในด้านต่างๆ โดยการนำของท่านก็ประสบแต่ความเจริญรุ่งเรือง ตลอดมาด้วยดี แต่ระยะหลังๆ นี้ หลวงปู่บุญ กำลังเข้าสู่วัยชราภาพมากแล้ว สังขารก็ทรุดโทรร่วงโรยลงไปตาม วันเวลา จะเดินทางไปไหนมาไหนแต่ละครั้งก็ไม่สะดวก ท่านจึงกราบทูลขอลาออกจากคณะสงฆ์ สมเด็จพระ สังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ มีรับสั่งถามหลวงปู่ว่าเวลานี้อายุได้เท่าไร ท่านก็กราบทูลว่า ๘๑ ปีเศษ ทรงรับสั่งว่า "จงอยู่ไปก่อนเถิด"
ท่านจึงต้องทนปฏิบัติงานต่อไปจนถึง พ.ศ. ๒๔๗๔ อายุ ๘๔ ปี ทางการคณะสงฆ์จึงเห็นเป็นการสมควร พักผ่อนเสียที โดยให้ท่านได้รับพระราชทานยศเป็นกิติมศักดิ์ จึงได้ติดต่อให้กระทรวงศึกษาธิการในสมัยนั้น นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงโปรดพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ยกเป็นกิติมศักดิ์ หลวงปู่จึงได้พักผ่อนจากการบริหารคณะสงฆ์ คงปฏิบัติแต่กิจพระศาสนา ทำนุบำรุง พระอารามเป็นการถภายในแต่นั้นเป็นต้นมา
มีหลักฐานบันทึกต่อไปถึงตอนมรณภาพของหลวงปู่ไว้ว่า
ท่านเจ้าคุณไม่เห็นแก่ความยากลำบาก มุ่งทำกิจที่เป็นสาธารณประโยชน์ทางศาสนา ด้วยความเคารพ อยู่ในธรรมเป็นประมาณ ควรกล่าวว่ามีจรรยา สมกับพุทธภาษิตที่ว่า "อโมฆ ตสฺส ชีวิตา " บุคคลผู้ประพฤติ ธรรมนั้นชีวิตไม่เป็นหมัน หรืออีกนัยหนึ่งซึ่งพ้องกับภาษิตว่า ดูกรอานนท์ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาใดๆ ประพฤติธรรมสมควรธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง ปฏิบัติธรรมอยู่ ผู้นั้นเชื่อว่าเคารพนับถือบูชาแก่พระตถาคตเจ้า ด้วย การบูชาอันสูงสุดยิ่ง คือมีความเป็นอยู่ ยังหิตานุหิตประโยชน์ให้สำเร็จแก่ตนและหมู่ชนต่างๆ ชั้น ซึ่งเป็น ตัวอย่างอันดี ที่ธีรชนผู้หวังคุณงามความดี น่าจะพึงดำเนินตามต่อไปหากว่าเจ้าคุณท่านยังมีชีวิตอยู่ คงทำ ประโยชน์ซึ่งเป็นสาธารณะทางพระพุทธศาสนาอีกมาก
แต่นี่ท่านมาถึงมรณภาพเสียเมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ตรงกับวันจันทร์ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๕ ปีชวด เวลา ๑๐.๔๕ น. โดยโรคคาพาธ ณ กุฏิของท่าน สิริรวมอายุท่านโดยปีได้ ๘๙ พรรษา ๖๗
ทั้งนี้ ก็เพราะสังขารของท่านประกอบด้วยชราภาพ จึงได้แปรปรวนยักย้ายไปตามธรรมดา ถึงแม้ว่าท่าน มรณภาพไปแล้วก็ดี คุณงามความดีซึ่งกระทำไว้ ก็ปรากฏตลอดมาจนบัดนี้ และคงปรากฏต่อไปอีกชั่วกาลนาน
Subscribe to:
Posts (Atom)